SUTHA มาเงียบ ไปเงียบแฉทุกวัน ทันเกมหุ้น

2 ปีเศษที่ผ่านมา ตอนที่ บริษัท สุธากัญจน์ จำกัด (มหาชน) หรือ SUTHA เข้ามาระดมทุนในตลาด โดยบล.กสิกรไทย จำกัด เป็นพี่เลี้ยงหลัก ก็มีคำถามตามมาว่า หุ้นที่ทำธุรกิจ "เอาหินก้อนมาเผาทำเป็นปูนขาวขาย" มีเสน่ห์น่าสนใจตรงไหน


2 ปีเศษที่ผ่านมา ตอนที่ บริษัท สุธากัญจน์ จำกัด (มหาชน) หรือ SUTHA เข้ามาระดมทุนในตลาด โดยบล.กสิกรไทย จำกัด เป็นพี่เลี้ยงหลัก ก็มีคำถามตามมาว่า หุ้นที่ทำธุรกิจ เอาหินก้อนมาเผาทำเป็นปูนขาวขาย มีเสน่ห์น่าสนใจตรงไหน

เพียงแต่ตัวเลขทางการเงินที่ดี สัดส่วนการเงินไม่ขี้เหร่  และ ชื่อชั้นของพี่เลี้ยง ก็ทำให้ SUTHA สามารถฝ่าฟันเสียงวิจารณ์และคำถามเข้าตลาดมาได้ อย่างเงียบๆ ไม่หวือหวา

ธุรกิจที่ไม่หวือหวา ทำให้ราคาหุ้นของ SUTHA ไม่หวือหวาเช่นกัน มองย้อนหลังกลับไป ก็ถือว่าไม่เกินจริง สูงสุดที่ระดับ 8.00 บาทเศษ แล้วก็ถดถอยลงมาเงียบๆ ที่ระดับราคาที่ไม่เคยหลุดใต้ 6.00 บาท 

รายได้ที่ทรงตัว และกำไรที่ถดถอยลง แต่ยังมีกำไร และรักษาอัตรากำไรสุทธิได้ในระดับน่าพอใจ ในขณะที่ผู้บริหารธุรกิจซึ่งก็ล้วนเป็นคนในกลุ่มผู้ถือหุ้นใหญ่ตระกูลมนต์เสรีนุสรณ์ ก็ กินบุญเก่าไปเรื่อยๆ ทำให้เสน่ห์ของราคาหุ้นลดทอนลง แต่ไม่ได้เลวร้ายอะไรถึงขั้นน่าเกลียดน่าชัง เพราะหนี้ไม่มากจนเกินส่วนผู้ถือหุ้น

จู่ๆ ก็มีข่าวแจ้งตลาดในปลายสัปดาห์ที่ผ่านมาว่า SUTHA ตกเป็นเหยื่อของการควบรวมกิจการฉันมิตรเสียแล้วเรียบร้อย

เริ่มตั้งแต่ ที่ประชุมคณะกรรมการบริษัทในวันพฤหัสบดีที่ 29 กันยายน ว่า กลุ่มผู้ถือหุ้นใหญ่ นายเกียรติกุล มนต์เสรีนุสรณ์ และนายกิติเมธี มนต์เสรีนุสรณ์ ได้ร่วมกันขายหุ้นจำนวนรวม 135 ล้านหุ้น หรือ 45% ให้แก่บริษัท ซีอี ไลม์ (ประเทศไทย) จำกัด ในราคาหุ้นละ 6.50 บาท ซึ่งส่งผลให้บริษัท ซีอี ไลม์ จำกัด ขึ้นเป็นผู้ถือหุ้นใหญ่อันดับ 1 และต้องทำคำเสนอซื้อหุ้นทั้งหมดหรือเทนเดอร์ออฟเฟอร์ หุ้นที่เหลือทั้งหมดของบริษัทต่อไป

การขายหุ้นดังกล่าว ทำให้ นายเกียรติกุล และนายกิติเมธี จะยังคงเหลือสัดส่วนการถือหุ้นในบริษัทรวม 22.41% ต่อไป 

ส่วน บริษัท ซีอี ไลม์ (ประเทศไทย) จำกัด จะทำคำเสนอซื้อหุ้น SUTHA ที่เหลือทั้งหมดในราคาหุ้นละ 6.50 บาท 

ข่าวดังกล่าว  ทำให้ราคาหุ้นของ SUTHA เมื่อวันศุกร์ที่ผ่านมาวิ่งขึ้นไปฉลองดีลที่จบลงไปเกินจริง บวกไปที่ราคาสูงสุดของวันที่ระดับ 6.90 บาท ก่อนลงมาปิดตลาดที่ 6.65 บาท ซึ่งสูงกว่าราคาเสนอซื้อเทนเดอร์

ถามว่าดันราคาสูงกว่าเทนเดอร์ไปให้เสียค่าโง่ทำไม…. คำตอบง่ายๆ คือ ไม่รู้ แต่ตอบแบบนกรู้คือ หวังว่าจะไม่มีใครขายตอนตั้งโต๊ะซื้อ เพราะขาดทุนเห็นๆ

ตอบแบบหลังนี้ เดาเอา…. ไปตามเนื้อผ้า

เหตุผลก็เพราะ ในเงื่อนไขทำเทนเดอร์นั้น ระบุเอาไว้ชัดว่า นายเกียรติกุล และนายกิติเมธี ต้องทำ 3 เรื่อง คือ 

1) จะดำเนินการให้นางสาวต้องรัก กิจวัฒนชัย ซึ่งถือหุ้นเดิม 1.42% ไม่ขายหุ้นในการทำคำเสนอซื้อนี้

2) ในกรณีที่มีคนสนใจขายหุ้นต่ำกว่า 18 ล้านหุ้น นายเกียรติกุล และนายกิตติเมธี จะขายหุ้นในส่วนที่ขาดออกมาเพื่อให้ผู้เสนอซื้อได้หุ้นครบ 18 ล้านหุ้น 

3) ในกรณีที่มีคนขายหุ้นครบหรือเกิน 18 ล้านหุ้น นายเกียรติกุล และนายกิตติเมธี จะไม่ขายหุ้นที่ถือไว้ในส่วนที่เหลือออกมาให้กับผู้ทำเทนเดอร์

เงื่อนไขแปลกๆ อย่างนี้…..มีลับลมคมในอะไร ไม่เกี่ยวกับคนอื่น…เป็นตามข้ออ้างว่าด้วย “…ตามข้อกำหนดและเงื่อนไขที่กำหนดไว้ภายใต้สัญญาซื้อขายหุ้นของบริษัท ซึ่งได้ลงนามเมื่อวันที่ 16 สิงหาคม ที่ผ่านมาระหว่างผู้ซื้อขายหุ้นดังกล่าว” ……ช่างหัวมัน

แล้วก็ไม่ต้องให้เยิ่นเย้อยืดยาว จึงมีการการเปลี่ยนแปลงกรรมการบริษัททันที มีคนลาออกหลายคนนับแต่ นายเชิดเกียรติ มนต์เสรีนุสรณ์ ประธานกรรมการ, นายปัญชฤทธิ์ มนต์เสรีนุสรณ์ กรรมการ และนายกิติเมธี มนต์เสรีนุสรณ์ กรรมการ 

 จากนั้นก็มีการแต่งตั้งกรรมการเข้าใหม่ นายทิโมธี อาเธอร์ มาเรีย แวน เดน บอสซ, นางสาวนิชิต้า ชาห์ และนายกริสนัน สูบรามาเนียน อายลู่

ผลการเปลี่ยนกรรมการ ทำให้มีการเปลี่ยนผู้บริหารตามไปด้วย โดยนายปัญชฤทธิ์ มนต์เสรีนุสรณ์ จากผู้ช่วยกรรมการผู้จัดการ และรักษาการผู้จัดการฝ่ายการตลาด ให้ดำรงตำแหน่งผู้จัดการฝ่ายการตลาดตำแหน่งเดียวมีผลตั้งแต่วันที่ 1 ตุลาคม และแต่งตั้ง MR.Geza Emil Perlaki เข้าดำรงตำแหน่งรองกรรมการผู้จัดการ ตั้งแต่วันที่ 1 ตุลาคม 

เรียกว่าไม่ถึงกับล้างบางกันในทันที แต่อนาคต… ไม่แน่นอน

รายละเอียดเหล่านี้ มีผลกับอนาคตของ SUTHA หรือไม่ 

คำตอบคือไม่มาก 

นอกจากการเปลี่ยนโครงสร้างผู้ถือหุ้นแล้ว มีข้อน่าสังเกต 2 ประเด็น คือ 1) เป็นการซื้อขายที่สูงกว่าบุ๊คแวลลูค่อนข้างเยอะมาก เกินสูตรมาตรฐาน 1.5 เท่าของบุ๊ค ถือว่าผู้ถือหุ้นใหม่ ต้องมองเห็นอะไรดีในบริษัท “เอาหินมาเผา” รายนี้  2) ผู้ถือหุ้นใหญ่รายใหม่เป็นนิติบุคคลที่ลึกลับสำหรับตลาดทุนพอสมควร ดังนั้นจึงต้องมีการค้นหาว่าผู้ซื้อที่แท้จริงที่อยู่เบื้องหลังนิติบุคคลนี้เป็นใคร และมีเป้าหมายอะไร จึงยอมจ่ายแพงเช่นนี้

อีกไม่นาน นักลงทุนก็คงจะทราบข้อเท็จจริง เพราะตัวแทนผู้ถือหุ้นใหญ่กลุ่มใหม่ก็ต้องเปิดตัวว่า เบื้องหลังและเจตนาเข้าเทกโอเวอร์ แม้จะใช้เงินไม่มากนัก…เบื้องต้นเพียงแค่ 870  ล้านบาท…มีอะไรในกอไผ่

เว้นแต่ว่าต้องการเก็บตัวเงียบ นั่นก็เป็นอีกเรื่อง

เพราะถ้าเอาที่เพ่…. สบายใจกับความเงียบ….ก็อย่าหวังเลยว่าราคาหุ้น SUTHA จะมีเสน่ห์มากขึ้น

“อิ อิ อิ”

Back to top button