พาราสาวะถี อรชุน

กรณีการเปิดข้อมูลค่าใช้จ่ายของ พลเอกประวิตร วงษ์สุวรรณ พร้อมคณะเดินทางไปร่วมประชุมรัฐมนตรีกลาโหมอาเซียนบวกสหรัฐอเมริกาที่ฮาวาย สหรัฐอเมริกา เรื่องเม็ดเงินรวมเกือบ 21 ล้านบาท และ ค่าอาหาร 6 แสนบาท ตามคำชี้แจงของกระทรวงกลาโหมคงไม่มีใครติดใจ ท่านจะรับประทานอาหารเลิศหรูขนาดไหนก็ไม่เป็นไร แต่ที่คนอยากรู้คือ 38 คนที่เดินทางไปนั้นมีใครบ้าง


กรณีการเปิดข้อมูลค่าใช้จ่ายของ พลเอกประวิตร วงษ์สุวรรณ พร้อมคณะเดินทางไปร่วมประชุมรัฐมนตรีกลาโหมอาเซียนบวกสหรัฐอเมริกาที่ฮาวาย สหรัฐอเมริกา เรื่องเม็ดเงินรวมเกือบ 21 ล้านบาท และ ค่าอาหาร 6 แสนบาท ตามคำชี้แจงของกระทรวงกลาโหมคงไม่มีใครติดใจ ท่านจะรับประทานอาหารเลิศหรูขนาดไหนก็ไม่เป็นไร แต่ที่คนอยากรู้คือ 38 คนที่เดินทางไปนั้นมีใครบ้าง

เพราะรายชื่อคนที่ปรากฏร่วมคณะไปนั้น จะเป็นตัวบ่งบอกว่า เม็ดเงินภาษีของประชาชนที่เสียไปนั้น คุ้มค่าหรือไม่ หากทั้งคณะบินไปเพื่อเจรจาและสร้างประโยชน์ให้กับประเทศถือเป็นเรื่องที่ต้องชื่นชมยินดี แต่หากมีใครที่ไม่มีส่วนเกี่ยวข้องติดสอยห้อยตามไปด้วย จะจากเหตุผลอันใดก็ตาม นั่นแหละ จะเป็นตัวบ่งชี้ว่าผู้มีอำนาจนำงบประมาณไปละเลง เอื้อประโยชน์ส่วนตัวให้กับคนใกล้ชิด

ในยุคของคนดีปกครองบ้านเมือง เรื่องคุณธรรมและความเหมาะสมต้องเป็นสิ่งที่ยึดถือปฏิบัติโดยเคร่งครัด ยิ่งนำเอาคำพูดของ วิษณุ เครืองาม เรื่องกฎหมาย 7 ชั่วโคตร ชาร์จแบตเตอรี่โทรศัพท์มือถือส่วนตัวในสถานที่ราชการหรือนำซองตราครุฑไปใช้ในเรื่องส่วนตัวก็ถือเป็นความผิด การบินข้ามน้ำข้ามทะเลไปไกลขนาดนี้ก็ต้องไม่มีเรื่องส่วนตัวเข้ามาเกี่ยวข้อง

ตรงนี้ต่างหากที่จะเป็นบทพิสูจน์ความเป็นคนดีที่น่ายกย่อง ไม่ต้องตั้งคณะกรรมการขึ้นมาตรวจสอบก็ไม่เป็นไร คงไม่มีใครไปกดดันเรียกร้องให้ พลเอกประยุทธ์ จันทร์โอชา ดำเนินการกับพี่ใหญ่ของตัวเอง หากมั่นใจว่าทุกอย่างดำเนินการไปตามกระบวนการด้วยความโปร่งใส ไร้คนนอกที่ไม่เกี่ยวข้องไปใช้งบหลวงด้วยก็ให้ยืนยันตามนั้น

แต่หากมองจากสถานการณ์ที่พบว่า เริ่มมีเอกสารซึ่งน่าจะความลับหลุดรั่วออกมาปรากฏต่อสายตาสาธารณชนมากขึ้น เชื่อแน่ว่ารายชื่อ 38 คนของคณะพลเอกประวิตรก็น่าจะไม่มีข้อยกเว้น เพียงแต่ว่ามันจะเล็ดลอดออกมาเร็วหรือช้าเท่านั้นเอง หรือแม้แต่การไม่ยอมเปิดเผยเพราะเชื่อมั่นว่าจะสามารถปกปิดไว้ได้ นั่นก็ยิ่งทำให้สังคมเกิดความเคลือบแคลงว่า เมื่อมั่นใจในความบริสุทธิ์ผุดผ่องแล้ว ไฉนจึงเปิดเผยไม่ได้

รายทางก่อนที่จะเดินไปถึงการเลือกตั้งตามโรดแมปบิ๊กตู่คงไม่อาจอยู่ในตำแหน่งแบบสบายใจเหมือนห้วงปีแรกของการรับตำแหน่งอย่างแน่นอน มาตรายาวิเศษที่ว่าแน่อาจจะต้องแพ้กับข้อเท็จจริง โดยเฉพาะการเผชิญกับการตรวจสอบกรณีของน้องชายและเครือญาติ ทำเอาความเชื่อมั่นต่อมาตรการปราบโกงโดยเข้มงวดของรัฐนาวาคสช.สั่นคลอนไม่ใช่น้อย

บนความเชื่อที่ว่า เวลาจะทำให้ทุกคนลืม ลืมเรื่องของเมียอดีตปลัดกระทรวงกลาโหม ลืมเรื่องบริษัทลูกชายที่ไปรับงานของกองทัพภาคที่ 3 ในทางกลับกันต้องไม่ลืมว่า กระบวนการตรวจสอบไม่ว่าทางหนึ่งทางใดนั้นยังคงอยู่ และในโลกยุคข่าวสารไร้พรมแดนคงไม่มีใครมั่นใจได้ว่า จะสามารถเหยียบสิ่งที่สังคมสงสัยไว้ได้ตลอดกาล

ตอกย้ำมาจาก มีชัย ฤชุพันธุ์ ใช้มาตรา 44 ยุบสภาไม่ได้ แต่รัฐบาลคสช.สามารถออกพระราชกฤษฎีกายุบสภาได้ เพราะร่างรัฐธรรมนูญฉบับใหม่ให้อำนาจไว้เช่นนั้น ทว่าส่วนตัวประธานกรธ.ยังเชื่อมั่นว่า จะไม่เกิดทางตันในการเลือกนายกรัฐมนตรี โดยคุยโวว่าได้มีการเขียนทางออกไว้ชัดเจนแล้ว ก็ขอให้เป็นอย่างนั้น ซึ่งจะว่าไปแล้ว มาถึงวันนี้คนส่วนใหญ่คงไม่ได้มีใครอินังขังขอบว่ามันจะมีเลือกตั้งหรือไม่และหลังเลือกตั้งบ้านเมืองจะเป็นอย่างไร

ที่คิดกันไปไกลและมันคงเป็นไปไม่ได้คือ การจับมือกันตั้งรัฐบาลระหว่างพรรคเพื่อไทยและประชาธิปัตย์ หากจับสัญญาณจากคนพรรคเก่าแก่ที่ออกมาวิจารณ์กรณี วิษณุ เครืองาม ชี้ช่องเลือกยุบสภาเลือกตั้งใหม่ ก็อาจจะเห็นเค้าลางบางอย่าง เอาแค่ว่าหากจับมือกันได้ คนของพรรคไหนจะเป็นนายกฯ แค่เท่านี้ก็ยุ่งตายห่า

ขณะที่เมื่อมองไปยังหวยล็อกพรรคการเมืองใหญ่ที่ชื่อว่าส.ว.ลากตั้ง 250 เสียงคงไม่ปล่อยให้เกิดเหตุการณ์อย่างนั้นขึ้นแน่ๆ ต้องมีการหาหนทางเพื่อให้ทุกอย่างเดินไปตามแนวทางที่ผู้มีอำนาจได้ขีดเส้นไว้แล้ว นั่นก็คือ ต้องคนนอกเท่านั้นก้าวขึ้นมาเป็นนายกฯ ขณะเดียวกัน พรรคอะไหล่ทั้งหลายแหล่ก็ต้องทำงานกันอย่างหนัก

ดังนั้น โอกาสที่จะเห็นสองพรรคใหญ่จูบปากกันเพื่อต่อต้านอำนาจเผด็จการจึงไม่มีทางเป็นไปได้ ในอีกด้านต้องไม่ลืมว่า บางพรรคการเมืองนั้นอิงแอบกับอำนาจนอกระบบหรือมือที่มองไม่เห็นมาโดยตลอด โดยไม่ได้แยแสเรื่องของความเป็นหรือไม่เป็นประชาธิปไตยเสียด้วยซ้ำ มิเช่นนั้น คงไม่ยอมเสียศักดิ์ศรีด้วยการก้าวขึ้นเป็นผู้นำด้วยการอาศัยเสียงงูเห่าของสองครั้งสองครา

ในเมื่อสถานการณ์การเมือง จะต้องเดินไปตามถนนสายที่ถูกสั่งให้สร้างไว้แล้ว คำถามที่ตามมาคือ กฎหมายหรือสิ่งที่เนติบริกรชั้นครูได้ออกแบบไว้นั้น จะเอื้อให้กับผู้มีอำนาจที่จะอยู่ต่อหรือนอมินีที่จะมารับบทบาทแสดงแทนได้อย่างเต็มที่อย่างนั้นหรือ พอลองมามองอย่างสังเคราะห์ให้ดีแล้ว หลายคนรู้สึกหวั่นใจว่า กติกาที่เขียนกันขึ้นมานั้นมันจะเป็นอุปสรรคต่อเครือข่ายอำนาจปัจจุบันเสียเอง

หากเป็นเช่นนั้นจริงก็ย่อมหนีไม่พ้นจะต้องเกิดการแก้ไขรัฐธรรมนูญ ซึ่งถูกร่างมาให้แก้ไขได้ยากถึงขึ้นแก้ไม่ได้เลย แต่ถึงเวลานั้นคงไม่มีใครคัดค้าน เพราะเสียงของส.ว.ลากตั้งก็คงพร้อมที่จะสนับสนุน ส่วนพรรคการเมืองต่างๆ แม้จะเป็นฝ่ายตรงข้ามก็ไม่น่าจะปฏิเสธ เนื่องจากเล็งเห็นแล้วว่ากฎหมายสูงสุดของประเทศมันสร้างปัญหามากกว่าก่อประโยชน์

นั่นมองจากภาพรวมของร่างรัฐธรรมนูญที่เป็นหลัก ยังไม่เห็นตัวกฎหมายลูกที่ไม่รู้ว่าหน้าตาจะออกมาอย่างไร ยิ่งหากได้กฎหมายลูกที่เขียนกันแบบศรีธนญชัย จงใจให้บิดเบี้ยวไปจากตัวแม่กลายเป็นลูกคนละแม่ ตรงนั้นยิ่งจะยุ่งไปกันใหญ่ อย่าคิดว่าใครจะบ้าทำอย่างนั้น เพราะบางเรื่องที่ร่างรัฐธรรมนูญยังไม่ชัดเจน จำเป็นจะต้องมาเขียนไว้ในกฎหมายลูก ซึ่งตรงนี้นั่นเองที่จะเป็นตัวบ่งบอกว่า บ้านเมืองนี้ทั้งการเลือกตั้งและโฉมหน้าของรัฐบาลหลังเลือกตั้งจะออกมาเป็นอย่างไร ถ้าให้เดาเชื่อว่าจะขี้เหร่แน่นอน

Back to top button