พาราสาวะถี อรชุน

เห็นอาการของ พลเอกประยุทธ์ จันทร์โอชา ผ่านการแถลงข่าวหลังการประชุมครม.เมื่อวันอังคาร การใช้เวลา 40 นาทีในการโต้เถียงบวกแล็กเชอร์นักข่าว เปล่าประโยชน์และสะท้อนภาวะขาลงหรือความกดดันต่อการปฏิบัติหน้าที่ ณ เวลานี้ของท่านผู้นำได้เป็นอย่างดี ทุกสิ่งทุกอย่างที่ประดังประเดถาโถมเข้าใส่ แทนที่จะโทษตัวและบริวารแวดล้อม กลับโยนโครมไปที่คอลัมนิสต์และสื่อโดยเฉพาะหนังสือพิมพ์ไปเสียฉิบ


เห็นอาการของ พลเอกประยุทธ์ จันทร์โอชา ผ่านการแถลงข่าวหลังการประชุมครม.เมื่อวันอังคาร การใช้เวลา 40 นาทีในการโต้เถียงบวกแล็กเชอร์นักข่าว เปล่าประโยชน์และสะท้อนภาวะขาลงหรือความกดดันต่อการปฏิบัติหน้าที่ ณ เวลานี้ของท่านผู้นำได้เป็นอย่างดี ทุกสิ่งทุกอย่างที่ประดังประเดถาโถมเข้าใส่ แทนที่จะโทษตัวและบริวารแวดล้อม กลับโยนโครมไปที่คอลัมนิสต์และสื่อโดยเฉพาะหนังสือพิมพ์ไปเสียฉิบ

ไม่ผิดหรอกที่ท่านบอกว่าหนังสือพิมพ์กำลังจะตาย เพราะคนหันไปสนใจโลกโซเซียล แต่ปัญหาก็คือ สื่อที่ท่านว่านั้นเขาปรับตัวไปก่อนพวกไดโนเสาร์ที่เพิ่งจะมองเห็นความเปลี่ยนแปลงกันไปนานแล้ว ซึ่งไม่ว่าหนังสือพิมพ์จะขายได้หรือไม่ แต่หัวใจในการเป็นผู้ตรวจสอบและนำเสนอข้อเท็จจริงต่อประชาชนนั้น มันถูกถ่ายทอดผ่านความรับผิดชอบ ไม่ว่าจะแปรเปลี่ยนไปนำเสนอผ่านสื่อประเภทไหนก็ตาม

ความจริงต้องบอกว่า ขอบคุณในความเป็นห่วงของท่านผู้นำที่เล็งเห็นหายนะของสื่อสิ่งพิมพ์ที่รออยู่ข้างหน้า แต่มันจะดีกว่านี้ไม่น้อยหากความห่วงใยนั้นสะท้อนผ่านคำพูดและคำแนะนำที่เต็มไปด้วยความเมตตา ปรานี แต่นั่นไม่ใช่ทุกถ้อยคำที่ผ่านมาจากปากของท่านผู้นำล้วนแล้วแต่มาจากอารมณ์ ความโมโหโกรธา ที่ท่านตอบคำถามนักข่าวว่า ไม่ได้มีอะไรมาทำให้อารมณ์เสีย นี่คืออารมณ์ปกติ หากอารมณ์ธรรมดาของผู้นำประเทศเป็นเช่นนี้ ก็นึกไม่ออกว่าถ้าท่านโกรธขึ้นมาจริงๆบ้านเมืองจะเป็นอย่างไร (ฮา)

สถานการณ์ที่กำลังเป็นอยู่ คงเป็นตัวบ่งชี้ได้อย่างหนึ่งว่า อำนาจของคสช.กำลังเริ่มสั่นคลอน ความเสื่อมกำลังมาเยือน ส่วนจะถึงขั้นเป็นช่วงขาลงหรือไม่อันนี้ตอบไม่ได้ เพราะดูจากการตั้งรับมาตั้งแต่เรื่องฝายแม่ผ่องพรรณพัฒนา ลูกชาย พลเอกปรีชา จันทร์โอชา หลานชายท่านผู้นำไปรับงานของกองทัพถึงเวลาร่วม 200 ล้านบาท จนมาถึงงบไปฮาวายเกือบ 21 ล้านบาท มันคือภาพสะท้อนความกังขาของสังคมต่อความโปร่งใสของรัฐบาลอำนาจเบ็ดเสร็จเด็ดขาด

อาการแกว่งของผู้มีอำนาจที่ชอบเสียงแข็งนั้น เห็นได้จากการตอบคำถามของ พลเอกประวิตร วงษ์สุวรรณ เจ้าของเรื่องงบฮาวายได้เป็นอย่างดี ทุกครั้งที่ถูกถามในเรื่องที่ตัวเองถูกต้องร้อยเปอร์เซ็นต์ คำตอบจะขึงขัง ดุดัน แต่รอบนี้มาแปลกอ้อมแอ้มและอ้างเรื่องกระบวนการเป็นวรรคเป็นเวร แต่ที่ย้อนแย้งกันมากที่สุดคงเป็นท่วงทำนองที่ท่านพูดถึงโฆษกกระทรวงกลาโหม

เพราะวันก่อนมีคนถามเรื่องถ้อยแถลงของ พลตรีคงชีพ ตันตระวาณิชย์ กรณีงบประมาณที่ไปฮาวาย มีบางเรื่องที่ไม่ถูกใจบิ๊กป้อม เจ้าตัวเลยย้อนถามนักข่าวว่าคงชีพคือใคร แต่พอวันวานถูกจี้ถามเรื่องเดิมอีก ท่านกลับให้นักข่าวไปรอฟังถ้อยแถลงของคงชีพ สรุปแล้วท่านรู้จักหรือไม่คุ้นเคยกับโฆษกกระทรวงที่ตัวเองนั่งเป็นเสนาบดีอยู่กันแน่ อย่าแสดงอาการจนคนเขาจับไต๋ได้ง่ายๆ เชียว

เก็บตกจากการจัดเวทีเสวนาเนื่องในโอกาส 40 ปี 6 ตุลา 2519 ที่เป็นประเด็นร้อนคงหนีไม่พ้น เวที 6 ตุลาฯ ชาวจุฬาฯมองอนาคต ที่จัดโดยคณะรัฐศาสตร์ จุฬาฯ เพราะงานดังกล่าวมีการโปรโมตว่า จะมี โจชัว หว่อง หรือ หว่อง จี้กง แกนนำนักเรียนนักศึกษาฮ่องกงผู้ทรงอิทธิพลผู้นำในการรณรงค์กางร่ม จะเดินทางมาร่วมวงเสวนาด้วยกับหัวข้อ “การเมืองของคนรุ่นใหม่”

แต่ปรากฏว่าในค่ำคืนของวันอังคารที่ 4 ตุลาคม ช่วงเที่ยงคืนที่สนามบินสุวรรณภูมิ เนติวิทย์ โชติภัทร์ไพศาล นิสิตจุฬาฯหนึ่งในผู้จัดงาน พร้อมเพื่อนซึ่งเดินทางไปรอรับโจชัว หว่อง กลับต้องผิดหวัง เมื่อได้รับการแจ้งจากตำรวจท่องเที่ยวว่า แกนนำนักเรียนนักศึกษาฮ่องกงคนดังถูกกม.กักตัวไว้ด้วยเหตุผล “มีหนังสือจากทางรัฐบาลจีนส่งมาถึงรัฐบาลไทยเกี่ยวกับบุคคลนี้”

ดูเหมือนว่าเนติวิทย์พร้อมพวกจะรู้ชะตากรรมเรื่องนี้ดีอยู่แล้ว จึงโพสต์ข้อความผ่านเฟซบุ๊คส่วนตัวว่า ไม่มีอะไรที่พวกเราสามารถทำได้มากกว่าการยอมรับ ตอนนี้พวกเราเป็นห่วงโจชัวมากที่สุด เราไม่สามารถสื่อสาร ไม่รู้ว่าเขาจะกลับประเทศได้เมื่อไหร่ จึงขอร้องให้รัฐบาลไทยรับรองความปลอดภัยของโจชัว หว่อง ให้เขาถึงฮ่องกงโดยสวัสดิภาพ

อย่างไรก็ตาม ใช่แต่เนติวิทย์และพวกเท่านั้นที่จะรู้ชะตากรรมของโจชัว เจ้าตัวเองที่จะเดินทางมายังประเทศไทย ก็ไม่มั่นใจในสิ่งตัวเองจะต้องเผชิญกับการเดินทางมายังประเทศไทย โดยได้โพสต์ข้อความผ่านเฟซบุ๊คส่วนตัว “หว่อง จี๊ฟง” ก่อนขึ้นเครื่องจากสนามบินเช็ก แล็บ ก๊อก เดินทางมาสุวรรณภูมิว่า ขอบคุณการเชิญจากจุฬาฯและธรรมศาสตร์ ตนกำลังจะออกจากฮ่องกงไปกรุงเทพฯ 4 วัน เพื่อบรรยายในมหาวิทยาลัยชื่อดังของไทยสองแห่งนี้ เพื่อแบ่งปันประสบการณ์ “รณรงค์ร่มกันฝน”

เป็นการแบ่งปันเพื่อผลักดันการกำหนดประชาธิปไตยด้วยตนเอง อีกทั้งการที่พรรคของเรา Demosistō เข้าร่วมการเลือกตั้งที่ฮ่องกง หวังว่าจะได้ร่วมกับสังคมพลเมืองที่นั่น โดยเฉพาะเพื่อนที่ร่วมกิจกรรมนักศึกษาได้แลกเปลี่ยนความเห็นกันมากๆ แต่ดูเหมือนว่าโจชัวจะรู้ในชะตากรรมด้วยการรำพันว่า พูดก็พูดเถอะ ผมยังกังวลว่าจะได้ไปสำเร็จหรือไม่

โดยเจ้าตัวย้อนเหตุการณ์เมื่อเดือนพฤษภาคมปีที่แล้วที่ได้รับเชิญไปแลกเปลี่ยนที่มาเลเซีย ขณะผ่านขั้นตอนเข้าเมืองได้ถูกทางการที่นั่นปฏิเสธเข้าเมืองด้วยเหตุผล “เป็นภัยต่อความมั่นคงของชาติ” และ “ทำลายความสัมพันธ์จีน-มาเลเซีย” ในที่สุด บังคับให้โจชัวนั่งเครื่องบินลำเดิมกลับฮ่องกง ซึ่งโจชัวก็เหมือนจะเข้าใจสถานการณ์ในไทยเป็นอย่างดี

จึงทิ้งท้ายข้อความในเฟซบุ๊คว่า ทุกคนทราบดีว่า สถานการณ์การเมืองในไทยไร้เสถียรภาพ การลุแก่อำนาจ ฉ้อราษฎร์บังหลวงของรัฐบาลไม่ใช่เป็นของแปลกใหม่ การพึ่งพิงจีนคอมมิวนิสต์มีท่าทีเด่นชัด ตอนนี้หวังแต่ทุกอย่างเป็นไปด้วยความราบรื่น ไม่ต้องการเห็นสิ่งที่เคยเจอมาแล้วในมาเลเซียก็มีแค่นั้น แต่นาทีนี้เยาวชนผู้ทรงอิทธิพลที่สุดในโลกคนหนึ่งคงเข้าใจแล้วว่า ความจริงที่กลัวเกรงนั้นเป็นอย่างไร

จากเหตุการณ์ดังว่า ก็ชวนให้ย้อนกลับไปยังสิ่งที่เนติวิทย์เคยพูดไว้ในงานเสวนากะลาแลนด์ต้องการกิจกรรมแบบไหน ในสถาบันการศึกษา ที่เจ้าตัวบอกว่าสิ่งที่สำคัญที่สุดคือการปลดปล่อยปัจเจกชน ต้องมีพื้นที่เสรีชนให้ปัจเจกชนในสถาบันการศึกษา เป็นที่ที่ให้เขาคิดได้ แต่อย่าลืมว่าประชาธิปไตย ส่วนสำคัญคือทุกคนต้องมีส่วนร่วม

แต่ว่าส่วนนี้ในปัจจุบันถูกละเลยไปมาก การมารวมตัวกันได้ถือเป็นเรื่องดีที่จะไปต่อยอด ดังนั้น ภราดรภาพต้องมี อีกอย่างคือเราต้องรู้ว่าเราไม่ได้กำลังต่อสู้กับเป้าหมายอะไรที่มันกำลังอยู่นิ่ง แต่เป็นเป้าหมายที่มีพลวัต มีการเปลี่ยนแปลงอยู่ตลอดเวลา เราต้องไม่ทำตัวให้นักเรียนเป็นเด็กไร้เดียงสา เราต้องมองเขาด้วยศักดิ์ศรีความเป็นมนุษย์ที่เท่าเทียมกันและสุดท้ายคือจัดกิจกรรมให้ออกมาเป็นรูปธรรม ความคิดของเยาวชนเช่นนี้ยังพอมีความหวังกับอนาคตประชาธิปไตยของประเทศ ไม่ได้ทำรู้สึกว่ามันกำลังจะหมดไปจากการที่ได้เห็นท่าทีของอธิการบดีหลายๆ คนในหลายๆ สถาบัน

Back to top button