พาราสาวะถี อรชุน

เดินเข้าซังเตไปเป็นที่เรียบร้อยสำหรับ จตุพร พรหมพันธุ์ ประธานนปช.หลังศาลอาญาได้ไต่สวนคำร้องของพนักงานอัยการคดีพิเศษ 1 ที่ยื่นคำร้องขอให้ศาลพิจารณาสั่งเพิกถอนการปล่อยชั่วคราวจตุพรพร้อมพวกอีก 4 คน ที่ได้รับการปล่อยตัวชั่วคราว ในความผิดฐานร่วมกันก่อการร้าย ซึ่งคดีอยู่ระหว่างการสืบพยานโจทก์ในศาลอาญา


เดินเข้าซังเตไปเป็นที่เรียบร้อยสำหรับ จตุพร พรหมพันธุ์ ประธานนปช.หลังศาลอาญาได้ไต่สวนคำร้องของพนักงานอัยการคดีพิเศษ 1 ที่ยื่นคำร้องขอให้ศาลพิจารณาสั่งเพิกถอนการปล่อยชั่วคราวจตุพรพร้อมพวกอีก 4 คน ที่ได้รับการปล่อยตัวชั่วคราว ในความผิดฐานร่วมกันก่อการร้าย ซึ่งคดีอยู่ระหว่างการสืบพยานโจทก์ในศาลอาญา

โดยศาลได้เพิกถอนประกันจตุพร เนื่องจากพิจารณาเห็นว่าคำพูดของประธานนปช.ที่ออกอากาศผ่านทางสถานีโทรทัศน์พีซทีวีและทางยูทูบมีเนื้อหาดูหมิ่น พาดพิงผู้อื่นให้เกิดความเสียหาย อันเป็นการผิดเงื่อนไขที่เคยทำไว้กับศาล ส่วนจำเลยคนอื่นศาลได้ยกคำร้อง โดยเห็นว่าติชมโดยสุจริต วิพากษ์วิจารณ์ตามสิทธิที่พึงกระทำได้

มีคำถามตามมาว่า ขบวนการต่อสู้ของฝ่ายประชาธิปไตยที่หมายถึงแกนนำนปช.และคนเสื้อแดง จะเกิดอาการสะดุดหรือไม่ เมื่อศาลตัดสินให้จตุพรเข้าคุกเพียงคนเดียว นั่นหมายความว่า การที่ยังมี ณัฐวุฒิ ใสยเกื้อ รวมทั้งแกนนำคนอื่นอยู่ ผลสะเทือนก็ไม่ได้มีอะไรมากนัก เนื่องจากประธานนปช.เองก็รับรู้ชะตากรรมของตัวเองล่วงหน้าไว้แล้ว

โดยก่อนการตัดสินเพียง 1 วันเจ้าตัวได้เรียกประชุมแกนนำทั้งหมด ยืนยันกับทุกคนว่าโอกาสที่ตัวเองจะรอดนั้นมีเพียง 1 เปอร์เซ็นต์เท่านั้น ดังนั้น ขบวนการเคลื่อนไหวหลังจากนี้จึงต้องอาศัยแกนนำระดับรองดำเนินการต่อไป ในขณะเดียวกัน ยังมีความเชื่อว่าการที่ตัวเองถูกสั่งให้ขังคุกนั้น จะเป็นผลดีต่อกระบวนการเคลื่อนไหวของคนเสื้อแดงเสียด้วยซ้ำ

เพราะนับจากนี้หน้าเรือนจำจะกลายเป็นสถานที่รวมพลหรือพบปะกันของคนเสื้อแดงที่จะหมุนเวียนกันไปรอเยี่ยม ซึ่งนั่นก็จะกลายเป็นเวทีแลกเปลี่ยนทุกข์สุขและสอบทานสถานการณ์กันไปโดยปริยาย ส่วนสถานีโทรทัศน์พีซทีวีนั้น เมื่อมีแค่จตุพรที่หายไปก็ไร้ปัญหาในแง่ของรายการที่จะเรียกเรตติ้ง เพราะก่อนหน้านั้น ประธานนปช.ก็จัดรายการผ่านยูทูบอยู่แล้ว เพิ่งจะกลับมาออกจอหลังจากสถานีพ้นการถูกเพิกถอนใบอนุญาต 30 วันเมื่อช่วงสองเดือนที่ผ่านมานี่เอง

เรียกได้ว่า องคาพยพในการขับเคลื่อนเพื่อตรึงมวลชนยังคงอยู่กันครบครัน ขณะเดียวกันในโลกยุคใหม่ เมื่อการสื่อสารไร้พรมแดนและมีตัวเลือกในการสื่อสารหลายช่องทาง มีรายงานว่า เวลานี้เองแกนนำนปช.ที่เหลืออยู่ก็วางแนวทางในการที่จะพัฒนาช่องทางสื่อสารกับมวลชนไม่ว่าจะเป็นทางยูทูบ เฟซบุ๊คไลฟ์หรือินสตาแกรม เรียกได้ว่าเปิดแนวรุกสร้างแนวร่วมทางโซเชียลมีเดียกันอย่างเต็มสตีม

การลุยเปิดแนวรุกผ่านโลกโซเชียลนี่ต่างหากที่ผู้มีอำนาจพึงจะต้องเฝ้าระวังอย่างใกล้ชิด เพราะมันควบคุมและตรวจสอบได้ยากกว่าการปล่อยให้สื่อสารผ่านหน้าจอทีวี อย่างที่เคยบอกไว้หลายครั้ง การต่อสู้ในโลกยุคใหม่ จะมัวแต่ไปใช้ปฏิบัติการเชิงจิตวิทยา สงครามโฆษณาชวนเชื่อหรือปฏิบัติการข่าวสารหรือไอโอเหมือนในอดีตไม่ได้อีกแล้ว

ประชาชนคนรากหญ้าเขาสามารถที่จะเข้าถึงข้อมูลข่าวสารได้อย่างทั่วถึงและกว้างขวาง ยากต่อการปิดกั้น ดังนั้น จึงเป็นโจทย์ของฝ่ายกุมอำนาจว่าจะควบคุม ป้องกันเรื่องเหล่านี้อย่างไร แน่นอนว่า คงไม่ใช่เรื่องง่าย มิเช่นนั้น พลเอกประยุทธ์ จันทร์โอชา คงไม่บ่นอยู่เป็นประจำว่าพวกไม่หวังดีมีการปล่อยข่าวโจมตีผ่านโลกโซเชียล จึงขอร้องให้สื่อมวลชนกระแสหลักช่วยเป็นหูเป็นตาแทนรัฐบาล

ความสั่นไหวต่อกระบวนการเคลื่อนไหวของฝ่ายประชาธิปไตยจะเห็นได้จากล่าสุด มีทหารบุกเข้าไปพบ อนุสรณ์ เอี่ยมสะอาด รักษาการรองโฆษกพรรคเพื่อไทยถึงสถานีโทรทัศน์ที่ชื่อว่าทีวี 24 อันเป็นฐานที่มั่นในการสื่อสารกับประชาชนของพรรคเพื่อไทย เป็นการบุกเข้าพบเพื่อตักเตือนให้เจ้าตัวระวังการพูดเรื่องการเมือง

ไม่เพียงเท่านั้น ทหารชุดดังกล่าว ยังอ้างข้อมูลการข่าวตั้งคำถามกับอนุสรณ์ว่า ทำไมถึงไปศาลฎีกาแผนกคดีอาญาของผู้ดำรงตำแหน่งทางการเมืองหลายครั้ง ไปเรือนจำพิเศษกรุงเทพเพื่อวัตถุประสงค์อะไร ไปกี่ครั้ง ไปต่างประเทศ ไปประเทศไหนบ้าง ก่อนจะมีการนัดหมายว่าสัปดาห์หน้าจะพาผู้บังคับบัญชาระดับสูงมาพบ

ความจริงแล้วหากไปเปิดดูหน้าจอของทีวีช่องดังว่า แทบจะมีเนื้อหาที่ไม่ได้แตะต้องอะไรรัฐบาลเสียด้วยซ้ำ เพียงแต่ว่าอนุสรณ์เป็นหนึ่งในผู้จัดรายการและร่วมบริหารเนื้อหารายการที่นั่น ถ้าจะหาเหตุผลแห่งความไม่พอใจคงจะเป็นการพูดผ่านเฟซบุ๊คไลฟ์และข้อความที่โพสต์ผ่านเฟซบุ๊คของเจ้าตัวต่างหาก นี่คืออานุภาพของโซเชียลมีเดียที่ท่านผู้นำเกรงกลัวเป็นอย่างยิ่ง

สิ่งที่น่าสนใจก็คือ เมื่อหมดหนามยอกใจท่านผู้นำอย่างจตุพรไปแล้ว ถามว่าจะไม่มีอะไรมาเป็นอุปสรรคปัญหาของรัฐบาลในการนำพาประเทศเดินไปตามโรดแมปที่ขีดเส้นไว้แล้วอย่างนั้นหรือ คำตอบก็คือ มันคงไม่ง่ายเช่นนั้น เพราะหลังจากที่ มีชัย ฤชุพันธุ์ ได้ส่งมอบร่างรัฐธรรมนูญฉบับสมบูรณ์ให้กับบิ๊กตู่ไปแล้วเพื่อเข้าสู่กระบวนการทูลเกล้าฯถวาย และรอการโปรดเกล้าฯ

หลังการโปรดเกล้าฯและรัฐธรรมนูญมีผลบังคับใช้ สิ่งที่ต้องจับตามองคือ เนื้อหาสาระของกฎหมายลูก ซึ่ง 2 ฉบับแรกที่กรธ.จะชงให้สนช.พิจารณาคือ ร่างกฎหมายว่าด้วยกกต.และพรรคการเมือง ชัดเจนว่าไม่มีเซตซีโร่กกต.แน่ แต่คำให้สัมภาษณ์ของมีชัยเรื่องต้องมีการเลือกกกต.เพิ่มอย่างน้อย 2 คนมันหมายถึงอะไร

เพราะตามรัฐธรรมนูญใหม่หากเป็นไปตามเนื้อหาที่กำหนด จะต้องมีการเลือกเพิ่มแค่ 2 คน ซึ่งควรใช้คำว่าสรรหากกต.เพิ่ม 2 คนไม่ใช่คำว่าอย่างน้อย 2 คน ตรงนี้คือความเหนือชั้นของเนติบริกรชั้นครู เพราะหากเกิดอะไรขึ้นมา ก็จะย้อนไปยังบทสัมภาษณ์ที่เคยบอกว่าต้องสรรหาเพิ่มอย่างน้อยนั่นเอง เมื่อเป็นเช่นนั้น 5 เสือกกต.ก็ไม่อาจจะเบาใจได้

เช่นเดียวกับกฎหมายพรรคการเมือง การพูดถึงพรรคการเมืองใหญ่ที่ไม่ได้ร่วมเวทีสัมมนาซึ่งกรธ.จัดขึ้น ก็ถูกมีชัยตีกินว่าเป็นเพราะยอมรับในเนื้อหาของร่างกฎหมายที่จะเขียนขึ้น มัดมือชกกันแบบเนียนๆ แต่เกมการเมืองเมื่อยังไม่มีบทสรุปจะรีบด่วนฟันธงมันเป็นอย่างนั้นอย่างนี้ไม่ได้ ต้องรอดูหลังจากเห็นหน้าตาของกฎหมายลูกแบบเต็มๆ คนการเมืองนักเลือกตั้งจะยอมรับหรือเกิดแรงกระเพื่อมใดหรือไม่ แม้ผู้มีอำนาจจะมั่นใจในกฎหมายวิเศษ แต่หน้างานเมื่อถึงเวลานั้นไม่รู้ว่าจะมีปัจจัยหรือเหตุแทรกซ้อนใดหรือไม่

โดยศาลได้เพิกถอนประกันจตุพร เนื่องจากพิจารณาเห็นว่าคำพูดของประธานนปช.ที่ออกอากาศผ่านทางสถานีโทรทัศน์พีซทีวีและทางยูทูบมีเนื้อหาดูหมิ่น พาดพิงผู้อื่นให้เกิดความเสียหาย อันเป็นการผิดเงื่อนไขที่เคยทำไว้กับศาล ส่วนจำเลยคนอื่นศาลได้ยกคำร้อง โดยเห็นว่าติชมโดยสุจริต วิพากษ์วิจารณ์ตามสิทธิที่พึงกระทำได้

มีคำถามตามมาว่า ขบวนการต่อสู้ของฝ่ายประชาธิปไตยที่หมายถึงแกนนำนปช.และคนเสื้อแดง จะเกิดอาการสะดุดหรือไม่ เมื่อศาลตัดสินให้จตุพรเข้าคุกเพียงคนเดียว นั่นหมายความว่า การที่ยังมี ณัฐวุฒิ ใสยเกื้อ รวมทั้งแกนนำคนอื่นอยู่ ผลสะเทือนก็ไม่ได้มีอะไรมากนัก เนื่องจากประธานนปช.เองก็รับรู้ชะตากรรมของตัวเองล่วงหน้าไว้แล้ว

โดยก่อนการตัดสินเพียง 1 วันเจ้าตัวได้เรียกประชุมแกนนำทั้งหมด ยืนยันกับทุกคนว่าโอกาสที่ตัวเองจะรอดนั้นมีเพียง 1 เปอร์เซ็นต์เท่านั้น ดังนั้น ขบวนการเคลื่อนไหวหลังจากนี้จึงต้องอาศัยแกนนำระดับรองดำเนินการต่อไป ในขณะเดียวกัน ยังมีความเชื่อว่าการที่ตัวเองถูกสั่งให้ขังคุกนั้น จะเป็นผลดีต่อกระบวนการเคลื่อนไหวของคนเสื้อแดงเสียด้วยซ้ำ

เพราะนับจากนี้หน้าเรือนจำจะกลายเป็นสถานที่รวมพลหรือพบปะกันของคนเสื้อแดงที่จะหมุนเวียนกันไปรอเยี่ยม ซึ่งนั่นก็จะกลายเป็นเวทีแลกเปลี่ยนทุกข์สุขและสอบทานสถานการณ์กันไปโดยปริยาย ส่วนสถานีโทรทัศน์พีซทีวีนั้น เมื่อมีแค่จตุพรที่หายไปก็ไร้ปัญหาในแง่ของรายการที่จะเรียกเรตติ้ง เพราะก่อนหน้านั้น ประธานนปช.ก็จัดรายการผ่านยูทูบอยู่แล้ว เพิ่งจะกลับมาออกจอหลังจากสถานีพ้นการถูกเพิกถอนใบอนุญาต 30 วันเมื่อช่วงสองเดือนที่ผ่านมานี่เอง

เรียกได้ว่า องคาพยพในการขับเคลื่อนเพื่อตรึงมวลชนยังคงอยู่กันครบครัน ขณะเดียวกันในโลกยุคใหม่ เมื่อการสื่อสารไร้พรมแดนและมีตัวเลือกในการสื่อสารหลายช่องทาง มีรายงานว่า เวลานี้เองแกนนำนปช.ที่เหลืออยู่ก็วางแนวทางในการที่จะพัฒนาช่องทางสื่อสารกับมวลชนไม่ว่าจะเป็นทางยูทูบ เฟซบุ๊คไลฟ์หรือินสตาแกรม เรียกได้ว่าเปิดแนวรุกสร้างแนวร่วมทางโซเชียลมีเดียกันอย่างเต็มสตีม

การลุยเปิดแนวรุกผ่านโลกโซเชียลนี่ต่างหากที่ผู้มีอำนาจพึงจะต้องเฝ้าระวังอย่างใกล้ชิด เพราะมันควบคุมและตรวจสอบได้ยากกว่าการปล่อยให้สื่อสารผ่านหน้าจอทีวี อย่างที่เคยบอกไว้หลายครั้ง การต่อสู้ในโลกยุคใหม่ จะมัวแต่ไปใช้ปฏิบัติการเชิงจิตวิทยา สงครามโฆษณาชวนเชื่อหรือปฏิบัติการข่าวสารหรือไอโอเหมือนในอดีตไม่ได้อีกแล้ว

ประชาชนคนรากหญ้าเขาสามารถที่จะเข้าถึงข้อมูลข่าวสารได้อย่างทั่วถึงและกว้างขวาง ยากต่อการปิดกั้น ดังนั้น จึงเป็นโจทย์ของฝ่ายกุมอำนาจว่าจะควบคุม ป้องกันเรื่องเหล่านี้อย่างไร แน่นอนว่า คงไม่ใช่เรื่องง่าย มิเช่นนั้น พลเอกประยุทธ์ จันทร์โอชา คงไม่บ่นอยู่เป็นประจำว่าพวกไม่หวังดีมีการปล่อยข่าวโจมตีผ่านโลกโซเชียล จึงขอร้องให้สื่อมวลชนกระแสหลักช่วยเป็นหูเป็นตาแทนรัฐบาล

ความสั่นไหวต่อกระบวนการเคลื่อนไหวของฝ่ายประชาธิปไตยจะเห็นได้จากล่าสุด มีทหารบุกเข้าไปพบ อนุสรณ์ เอี่ยมสะอาด รักษาการรองโฆษกพรรคเพื่อไทยถึงสถานีโทรทัศน์ที่ชื่อว่าทีวี 24 อันเป็นฐานที่มั่นในการสื่อสารกับประชาชนของพรรคเพื่อไทย เป็นการบุกเข้าพบเพื่อตักเตือนให้เจ้าตัวระวังการพูดเรื่องการเมือง

ไม่เพียงเท่านั้น ทหารชุดดังกล่าว ยังอ้างข้อมูลการข่าวตั้งคำถามกับอนุสรณ์ว่า ทำไมถึงไปศาลฎีกาแผนกคดีอาญาของผู้ดำรงตำแหน่งทางการเมืองหลายครั้ง ไปเรือนจำพิเศษกรุงเทพเพื่อวัตถุประสงค์อะไร ไปกี่ครั้ง ไปต่างประเทศ ไปประเทศไหนบ้าง ก่อนจะมีการนัดหมายว่าสัปดาห์หน้าจะพาผู้บังคับบัญชาระดับสูงมาพบ

ความจริงแล้วหากไปเปิดดูหน้าจอของทีวีช่องดังว่า แทบจะมีเนื้อหาที่ไม่ได้แตะต้องอะไรรัฐบาลเสียด้วยซ้ำ เพียงแต่ว่าอนุสรณ์เป็นหนึ่งในผู้จัดรายการและร่วมบริหารเนื้อหารายการที่นั่น ถ้าจะหาเหตุผลแห่งความไม่พอใจคงจะเป็นการพูดผ่านเฟซบุ๊คไลฟ์และข้อความที่โพสต์ผ่านเฟซบุ๊คของเจ้าตัวต่างหาก นี่คืออานุภาพของโซเชียลมีเดียที่ท่านผู้นำเกรงกลัวเป็นอย่างยิ่ง

สิ่งที่น่าสนใจก็คือ เมื่อหมดหนามยอกใจท่านผู้นำอย่างจตุพรไปแล้ว ถามว่าจะไม่มีอะไรมาเป็นอุปสรรคปัญหาของรัฐบาลในการนำพาประเทศเดินไปตามโรดแมปที่ขีดเส้นไว้แล้วอย่างนั้นหรือ คำตอบก็คือ มันคงไม่ง่ายเช่นนั้น เพราะหลังจากที่ มีชัย ฤชุพันธุ์ ได้ส่งมอบร่างรัฐธรรมนูญฉบับสมบูรณ์ให้กับบิ๊กตู่ไปแล้วเพื่อเข้าสู่กระบวนการทูลเกล้าฯถวาย และรอการโปรดเกล้าฯ

หลังการโปรดเกล้าฯและรัฐธรรมนูญมีผลบังคับใช้ สิ่งที่ต้องจับตามองคือ เนื้อหาสาระของกฎหมายลูก ซึ่ง 2 ฉบับแรกที่กรธ.จะชงให้สนช.พิจารณาคือ ร่างกฎหมายว่าด้วยกกต.และพรรคการเมือง ชัดเจนว่าไม่มีเซตซีโร่กกต.แน่ แต่คำให้สัมภาษณ์ของมีชัยเรื่องต้องมีการเลือกกกต.เพิ่มอย่างน้อย 2 คนมันหมายถึงอะไร

เพราะตามรัฐธรรมนูญใหม่หากเป็นไปตามเนื้อหาที่กำหนด จะต้องมีการเลือกเพิ่มแค่ 2 คน ซึ่งควรใช้คำว่าสรรหากกต.เพิ่ม 2 คนไม่ใช่คำว่าอย่างน้อย 2 คน ตรงนี้คือความเหนือชั้นของเนติบริกรชั้นครู เพราะหากเกิดอะไรขึ้นมา ก็จะย้อนไปยังบทสัมภาษณ์ที่เคยบอกว่าต้องสรรหาเพิ่มอย่างน้อยนั่นเอง เมื่อเป็นเช่นนั้น 5 เสือกกต.ก็ไม่อาจจะเบาใจได้

เช่นเดียวกับกฎหมายพรรคการเมือง การพูดถึงพรรคการเมืองใหญ่ที่ไม่ได้ร่วมเวทีสัมมนาซึ่งกรธ.จัดขึ้น ก็ถูกมีชัยตีกินว่าเป็นเพราะยอมรับในเนื้อหาของร่างกฎหมายที่จะเขียนขึ้น มัดมือชกกันแบบเนียนๆ แต่เกมการเมืองเมื่อยังไม่มีบทสรุปจะรีบด่วนฟันธงมันเป็นอย่างนั้นอย่างนี้ไม่ได้ ต้องรอดูหลังจากเห็นหน้าตาของกฎหมายลูกแบบเต็มๆ คนการเมืองนักเลือกตั้งจะยอมรับหรือเกิดแรงกระเพื่อมใดหรือไม่ แม้ผู้มีอำนาจจะมั่นใจในกฎหมายวิเศษ แต่หน้างานเมื่อถึงเวลานั้นไม่รู้ว่าจะมีปัจจัยหรือเหตุแทรกซ้อนใดหรือไม่

Back to top button