ตีหัวเข้าบ้านลูบคมตลาดทุน
กระแสข่าวในประเทศกดดันตลาดหุ้นไทยอย่างหนักเมื่อวานนี้
ธนะชัย ณ นคร
กระแสข่าวในประเทศกดดันตลาดหุ้นไทยอย่างหนักเมื่อวานนี้
ดัชนีปิดตลาดปรับลงไปต่ำสุดในรอบเกือบ 5 เดือน
แต่ระหว่างวันดัชนีติดลบลงไปถึง 99 จุด ก่อนจะดีดตัวขึ้นมาได้ช่วง 16.00 น. เป็นต้นมา
ส่วนมูลค่าการซื้อขายหุ้นไทย 1.30 แสนล้านบาท นับว่ามากสุดนับตั้งแต่ตลาดหุ้นไทยเปิดให้มีการซื้อขายเป็นครั้งแรกเมื่อปี 2517
คุยกับนักวิเคราะห์นั้น
สัญญาณทางเทคนิคใช้การไม่ได้ครับ
คำแนะนำจากนักวิเคราะห์ส่วนใหญ่ ก็คือ ให้ถือเงินสด เพื่อรอความชัดเจนต่างๆ
แต่หากเป็นนักลงทุนระยะกลางถึงยาว มีเงินเย็นในมือ และมั่นใจว่า หุ้นที่ตนเองจะซื้อนั้น ราคาลงมาต่ำกว่ามูลค่าพื้นฐานมากๆ และแนวโน้มธุรกิจยังดีอยู่ หรือเป็นหุ้น Defensive Stock ก็หาจังหวะเข้าซื้อได้
เมื่อวันก่อน ผมบอกไปว่า รายย่อยหลายๆ คน ขาดทุนหุ้นเยอะจากการทิ้งหุ้นของกองทุน
ส่วนวานนี้ เข้าใจว่า รายย่อยที่ซื้อสุทธิ 4,656 พันล้านบาท ก็น่าจะซื้อเพื่อถัวเฉลี่ยกับหุ้นตัวที่ขาดทุนเช่นกัน
แต่ก็มีหลายคน ที่สบจังหวะเข้าซื้อเพื่อเก็งกำไรในช่วงที่ดัชนีลงมาเกือบ 100 จุด
ก่อนหน้านี้ นักวิเคราะห์ต่างมองว่า หุ้นในกลุ่มน้ำมัน โดยเฉพาะกลุ่ม PTT น่าจะปรับขึ้น
เป็นการปรับขึ้นตามทิศทางราคาน้ำมันดิบที่มีทิศทางขาขึ้น
แต่ก็ช่วยอะไรไม่ได้เลย
หุ้น PTT ปิดตลาดวานนี้ อยู่ในสถานะทรงตัว ด้วยราคา 337 ล้านบาท โดยระหว่างวันราคาลงไปลึกสุด 320 บาทต่อหุ้น และสูงสุด 340 บาทต่อหุ้น
ระหว่างปิดต้นฉบับ สัญญาณน้ำมันดิบล่วงหน้ายังคงปรับขึ้น
เพราะล่าสุดมีข่าวว่า รัฐมนตรีน้ำมันจากกาตาร์ สหรัฐอาหรับเอมิเรตส์ แอลจีเรีย เวเนซุเอลา และรัสเซีย ได้เริ่มการ “เจรจาลับ” อย่างไม่เป็นทางการแล้ว
การหารือครั้งนี้ มีเลขาธิการของกลุ่มประเทศผู้ส่งออกน้ำมัน (โอเปก) ด้วย
หัวข้อในการหารือ คือ ความร่วมมือในการรักษาสมดุลของตลาด
การประชุมดังกล่าวมีขึ้น นอกรอบการประชุมพลังงานโลก (World Energy Congress) ครับ
ทว่า ก็มีบรรดานักวิเคราะห์คาดการณ์ว่า จะไม่มีการตัดสินใจใดๆ จากการประชุมล่าสุดนี้
ส่วนก่อนหน้านี้ รัสเซีย ที่เป็นประเทศผู้ผลิตน้ำมันรายใหญ่ นอกกลุ่มโอเปก ก็ยืนยันมั่นเหมาะว่า พร้อมจะให้ความร่วมมือเกี่ยวกับการักษาระดับเพดานการผลิตน้ำมันดิบ
พร้อมกับเรียกร้องให้ประเทศผู้ผลิตน้ำมันรายใหญ่อื่นๆ ร่วมมืออย่างจริงจังด้วย
หากเป็นไปอย่างที่รัสเซียต้องการ ก็น่าจะทำให้ราคาน้ำมันปรับขึ้น
แต่ที่ยังปรับขึ้นมาได้ไม่มากนัก เพราะหลายประเทศในกลุ่มโอเปก ยังต้องการเพิ่มกำลังการผลิตน้ำมันดิบ เพื่อนำไปชดเชยกับสภาวะการขาดดุลบัญชีเดินสะพัดที่กำลังเผชิญปัญหาอยู่
การเล่นหุ้นในกลุ่มน้ำมัน ก็ต้องเข้าเร็วออกเร็วกัน
เพราะความไม่แน่นอนเรื่องข้อตกลงนั่นเอง
ส่วนภาวะหุ้นไทยโดยรวมตอนนี้ ก็มีข่าวที่ไม่แน่นอนอื่นๆ นอกเหนือราคาน้ำมัน เข้ามากระทบอยู่เรื่อย
อย่างเช่นที่เกิดขึ้นเมื่อวานนี้ และช่วง 2 วันก่อนหน้านี้
3 วันที่ผ่านมา ดัชนีร่วงลงไปแล้วกว่า 100 จุด
มูลค่าหลักทรัพย์ตามราคาตลาดหรือ มาร์เก็ตแคป ก็หายไปแล้วกว่า 1 ล้านล้านบาท
สถานการณ์แบบนี้ การเล่นหุ้นแล้วหากได้กำไรซัก 2-3 ช่อง ก็ปล่อยของกันแล้ว ไม่มีใครกล้าห่อกลับบ้านกันซักเท่าไหร่ เว้นแต่ขาดทุนไปหลายๆ ช่อง
ตีหัวแล้วเข้าบ้าน ดูจะปลอดภัยสุด