PTT ได้ทั้งเงิน ทั้งกล่องแฉทุกวัน ทันเกมหุ้น
ใครๆ ก็รู้ว่าเครือ ปตท.นั้น ใหญ่โตแค่ไหน ทั้งในด้านธุรกิจ และมาร์เก็ตแคป ของบริษัทจดทะเบียนในตลาดหุ้น
ใครๆ ก็รู้ว่าเครือ ปตท.นั้น ใหญ่โตแค่ไหน ทั้งในด้านธุรกิจ และมาร์เก็ตแคป ของบริษัทจดทะเบียนในตลาดหุ้น
นับเฉพาะที่มีรายชื่อรวมกันในตลาดหลักทรัพย์ฯ ยามนี้ จะเห็นได้ชัด (ดูตารางประกอบ)
ความใหญ่ของเครือ ปตท. ทำให้ด้านหนึ่งตกอยู่ในเรดาร์ของสังคมตลอดเวลา แค่ขยับตัวก็มีคนตั้งคำถามเสียแล้ว
ส่วนอีกด้านหนึ่งก็จำต้องทำตัวเป็นโมเดลต้นแบบ หรือ Role Model ของบริษัทจดทะเบียนอื่นๆ ในเรื่องธรรมาภิบาล
ทั้งสองบทบาทดังกล่าว…..เป็นภาคบังคับเสียด้วย
ล่าสุด ยังไม่ทันที่ พ.ร.บ.หลักทรัพย์ฉบับแก้ไขใหม่จะลงในราชกิจจานุเบกษามาบังคับใช้ ปตท.ก็ชิงตัดหน้าขยับตัวเสียก่อนตามสูตร “เปลี่ยนแปลงตัวเอง ก่อนที่จะถูกสถานการณ์บังคับให้เปลี่ยน”…ให้บริษัทอื่นๆ ดูกันเป็นแบบอย่าง
ทำความดีอย่างนี้ ยิ่งเร็วยิ่งโดดเด่น…หมดยุคคำพังเพยคร่ำครึ “ไม่เห็นน้ำ อย่าเพิ่งตัดกระบอก ไม่เห็นกระรอก อย่าเพิ่งโก่งหน้าไม้”
ซีอีโอใหญ่คนปัจจุบันของ บริษัท ปตท. จำกัด (มหาชน) หรือ PTT นายเทวินทร์ วงศ์วานิช เปิดเผยว่า ขณะนี้บริษัทเตรียมออกมาตรการขอความร่วมมือคณะกรรมการบริษัท และคณะกรรมการบริษัทในเครือที่จดทะเบียนอยู่ในตลาดหลักทรัพย์ฯ เพื่อหลีกเลี่ยงการซื้อขายหุ้นในกลุ่มบริษัทตลอดระยะเวลาที่ดำรงตำแหน่ง
ดำริดังกล่าว เป็นการเตรียมความพร้อมแบบแย่งซีนที่ตรงเป้า…เพราะใครก็ย่อมรู้ว่า พ.ร.บ.หลักทรัพย์แก้ไขใหม่นั้น ออกมาเพื่อสกัดกั้นปัญหาเรื่องการซื้อขายหุ้นโดยใช้ข้อมูลวงใน หรือ อินไซเดอร์ เทรดดิ้ง ที่เอาเปรียบนักลงทุนรายอื่นทั่วไปเป็นสำคัญ
สาระสำคัญของ พ.ร.บ.ฉบับแก้ไขใหม่ จะเห็นได้ว่า มีเจตนาเพื่อสร้างความยุติธรรมในการซื้อขายหุ้นอย่างแท้จริง…แม้ว่าในชั้นแรก จะยังสร้างความสับสนไม่น้อยเกี่ยวกับการปฏิบัติที่เป็นรูปธรรมอยู่มาก…รวมทั้งคำชี้แจงเบื้องต้น 13 ข้อ ที่ ก.ล.ต.ออกมาก่อนหน้านี้
ปัญหาการใช้ข้อมูลภายในไปหาประโยชน์เอารัดเอาเปรียบคนอื่น โดยเฉพาะ “คนใน” ได้แก่ กรรมการ ผู้บริหาร และพนักงานระดับสูง เป็นปัญหาเรื้อรังของทุกตลาดเก็งกำไรทั่วโลก เพราะคนที่เกี่ยวข้องมีวิธีการหลากหลายและพลิกแพลงในการกระทำผิด หากปล่อยไปก็ถือเป็นมะเร็งร้ายที่ทำให้ “คนชั่วลอยนวล” ไปได้เรื่อยๆ
สาระสำคัญของความผิดที่เน้นย้ำมากที่สุดจึงมุ่งไปที่ “การใช้ข้อมูลวงในเอาเปรียบนักลงทุนอื่นโดยการใช้ประโยชน์จากข้อมูลที่ตนรู้มา” ที่ถือเป็นความผิดที่ร้ายแรงสุด
ซีอีโอใหญ่ เทวินทร์ ระบุว่า เพื่อ “ล้อมคอกก่อนวัวหาย” หรือ “ตัดไฟแต่ต้นลม” โดยที่จะเตรียมนำนโยบายดังกล่าวเข้าที่ประชุมบอร์ดของ PTT ในช่วงเดือนพฤศจิกายน 2559 และคาดจะสามารถประกาศใช้ได้ทันที เพื่อแสดงความโปร่งใสและลดความเสี่ยงของการใช้ข้อมูลภายในซื้อขายหุ้น
สาระสำคัญที่นายเทวินทร์ นำเสนอนั้น หากแยกแยะออกมาจะเห็นสาระดังนี้ คือ
1) ใช้บังคับเฉพาะกับกรรมการบริษัทและบริษัทในเครือเท่านั้น ไม่ได้รวมถึงผู้บริหารและพนักงานด้วยเลย
2) ห้ามการซื้อขายหุ้นในเครือ ปตท.เท่านั้น ไม่ห้ามในการซื้อขายหุ้นอื่นๆ
3) ถ้าต้องการซื้อขายหลักทรัพย์ หรือตราสารทุน จะต้องมีการแจ้งเจตนาล่วงหน้าแก่บริษัทก่อน
4) อาจจะใช้วิธีการหันไปลงทุนในส่วนของกองทุนรวมแทน
มาตรการสร้างธรรมาภิบาลแบบนี้ จะบอกว่าเป็นมาตรการ “กระต่ายตื่นตูม” คงไม่ได้ แม้ว่าอาจจะทำให้บรรดากรรมการพากันอึดอัด เพราะหากว่าตามสูตรของ วอร์เรน บัฟเฟตต์แล้ว การซื้อขายหุ้น หรือหลักทรัพย์ที่ดี จะต้องรู้จักหุ้นหรือหลักทรัพย์นั้น อย่างดี…ไม่ควรซื้อขายหุ้นที่ตัวเองไม่รู้จัก
แม้นายเทวินทร์ จะบอกว่า นี่ไม่ใช่เงื่อนไขบังคับ แต่เป็นการ “ขอความร่วมมือ” และ เป็นเพียงแนวทางปฏิบัติของกลุ่ม PTT โดยให้อิสระแต่ละบริษัทในเครือนำไปพิจารณาเพื่อหาแนวทางบริหารจัดการเอง ….แต่ความหมายมันก็ชัดเจนอยู่แล้วว่า มีสภาพบังคับโดยปริยาย
ว่ากันตามจริงแล้ว ข้อเรียกร้องดังกล่าวของซีอีโอใหญ่นี้ ไม่จำเป็นเท่าใดนัก เพราะว่า ปัจจุบันกลุ่มบริษัท ปตท.ได้กำหนดช่วงระยะเวลาซื้อขายหุ้นของกรรมการและผู้บริหารในช่วงก่อนการประกาศผลประกอบการในแต่ละไตรมาสอยู่แล้ว
การ “ล้อมคอกก่อนวัวหาย” อีกชั้น ว่าไปแล้ว มีผลในด้านของภาพลักษณ์องค์กรมากกว่าผลทางปฏิบัติ…เพราะว่า ทำให้ ปตท.ดูสะอาดสะอ้านมากขึ้นกว่าเดิมหลายเท่า
ที่สำคัญ…ผู้บริหาร และ พนักงาน ในเครือ ปตท. ที่อยู่นอกเหนือกติกาที่จะเสนอใหม่นี้….ยังลอยนวลกับกระดานซื้อขายหุ้นได้ตามปกติ……เช่นเดิม
เรียกว่า งานนี้ บรรดา พีอาร์ ทั้งหลายต้องสยบให้กับซีอีโอเทวินทร์ เพราะข้อเสนอนี้ เข้าข่าย “ได้ทั้งกล่อง ได้ทั้งเงิน”
“อิ อิ อิ”