พาราสาวะถี อรชุน
พระบาทสมเด็จพระปรมินทรมหาภูมิพลอดุลยเดช ทรงเป็นพระราชาผู้ยิ่งใหญ่ระดับโลก ไม่ใช่เฉพาะแค่ประเทศไทยเท่านั้น พิสูจน์ได้จากการประชุมสมัชชาใหญ่สหประชาชาตินัดพิเศษเมื่อวันศุกร์ที่ 28 ตุลาคมที่ผ่านมา สดุดีและถวายพระเกียรติแด่พระองค์ท่าน โดยระบุทรงยกระดับความเป็นอยู่ของประชาชนไทยกระจายในทุกภูมิภาคของประเทศรวมถึงการพัฒนาในด้านต่างๆ
พระบาทสมเด็จพระปรมินทรมหาภูมิพลอดุลยเดช ทรงเป็นพระราชาผู้ยิ่งใหญ่ระดับโลก ไม่ใช่เฉพาะแค่ประเทศไทยเท่านั้น พิสูจน์ได้จากการประชุมสมัชชาใหญ่สหประชาชาตินัดพิเศษเมื่อวันศุกร์ที่ 28 ตุลาคมที่ผ่านมา สดุดีและถวายพระเกียรติแด่พระองค์ท่าน โดยระบุทรงยกระดับความเป็นอยู่ของประชาชนไทยกระจายในทุกภูมิภาคของประเทศรวมถึงการพัฒนาในด้านต่างๆ
บัน คีมูน เลขาธิการสหประชาชาติ กล่าวแสดงความอาลัยต่อการสวรรคต พร้อมระบุว่าเมื่อปี 2550 ตนมีโอกาสได้เดินทางมาประเทศไทยและมีโอกาสสำคัญได้เข้าเฝ้าฯทำให้ซาบซึ้งในพระมหากรุณาธิคุณ และยังพบว่าโครงการอันเนื่องมาจากพระราชดำรินอกจากจะช่วยยกระดับชีวิตประชาชนแล้วยังเป็นการยกระดับเศรษฐกิจ สหประชาชาติขอน้อมรำลึกและแสดงความเสียใจต่อการจากไปของพระองค์ ผู้ซึ่งนำความผาสุกให้กับประเทศไทย
ที่น่าสนใจ เป็นคำกล่าวของ ซาแมนธา พาวเวอร์ เอกอัครราชทูตผู้แทนถาวรสหรัฐอเมริกาประจำสหประชาชาติ ซึ่งระบุว่า ไทยถือเป็นพันธมิตรยาวนานของสหรัฐฯ ทรงประสูติและทรงศึกษามหาวิทยาลัยในสหรัฐฯ ทรงอุทิศพระวรกายเพื่อประชาชนเสมอมา ครั้งหนึ่งผู้สื่อข่าวในสหรัฐฯทูลถามว่าจะทำอย่างไรให้ประชาชนทั่วไปจดจำพระองค์ได้ ทรงตรัสว่า ไม่ทรงสนใจอยากจะเป็นที่จดจำในประวัติศาสตร์ แต่ต้องการให้จดจำในสิ่งทรงทำไว้ให้กับประชาชน
พร้อมยกตัวอย่างโครงการแก้มลิง โครงการด้านชลประทาน การบริหารจัดการน้ำ หลักในการพัฒนาอย่างยั่งยืน ซึ่งสร้างประโยชน์ให้กับประชาชนไทยในระยะยาว การกลับไปเยือนสหรัฐฯในปี 1960 นอกจากจะเป็นการกลับไปสถานที่ประสูติแล้ว ยังเป็นการเน้นย้ำความสัมพันธ์สองประเทศที่มีมาอย่างยาวนานและแนบแน่น พร้อมสดุดีถึงพระองค์ผู้ซึ่งเป็นแต่ผู้ให้ การดำเนินชีวิตที่ควรนำมาเป็นแบบอย่าง และประชาชนไทยทุกคนนับเป็นหนึ่งในครอบครัวของพระองค์
ขณะที่เวลานี้คลื่นมหาชนคนไทยยังคงหลั่งไหลไปเข้าคิวแม้จะต้องรอข้ามวันข้ามคืนอย่างไรก็ยินดี เพื่อที่จะได้เข้าไปถวายบังคมพระบรมศพ เบื้องหน้าพระบรมโกศ แม้แต่ฝรั่งต่างชาติหลายรายก็ลงทุนบินข้ามน้ำข้ามทะเลมาเพื่อแสดงความจงรักภักดีต่อพระองค์ นี่คือสิ่งที่ยืนยันว่า พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวของคนไทยนั้น เป็นราชาเหนือราชันย์อย่างแท้จริง
การเมืองของบ้านเมืองในยามที่ไร้นักการเมือง กลายเป็นว่าผู้มีอำนาจเวลานี้กลับเล่นการเมืองเสียเอง เห็นได้จากอารมณ์ของผู้บริหารและองคาพยพที่เกี่ยวข้องต่อสถานการณ์ที่กำลังเผชิญหน้าว่าด้วยราคาข้าวตกต่ำ พลเอกประยุทธ์ จันทร์โอชา นั่งหัวโต๊ะประชุมคณะกรรมการนโยบายและบริหารจัดการข้าวหรือนบข. ทุบโต๊ะโยนความผิดให้เป็นเรื่องของนักการเมือง
โดยระบุว่า ในช่วงสัปดาห์ที่ผ่านมาราคาข้าวเปลือกตกต่ำโดยเฉพาะข้าวหอมมะลิมีปัญหา ซึ่งปัญหาที่เกิดขึ้นมาจาก 2 ประเด็น คือ การปรับโครงสร้างการเกษตรที่ยังไม่สามารถดำเนินการได้ครบวงจร ยังมีปัญหาอยู่ยังทำไม่ได้ 100% ทำให้เกิดปัญหาอย่างแน่นอน สิ่งสิ่งสำคัญคือการเคลื่อนไหวทางการเมือง ซึ่งมีการร่วมมือกันระหว่างนักการเมืองในพื้นที่ร่วมกับโรงสีบางโรงสีในการกำหนดราคาข้าวให้ต่ำลง
แน่นอนว่า ในมุมของท่านผู้นำชี้ชัดไปว่า ท่วงทำนองของนักการเมืองที่ไปรวมหัวกับโรงสีกดราคาข้าวนั้น เพื่อหวังให้เกิดประเด็นต่อประชาชนให้เกิดการต่อต้านหรือขัดแย้งกับรัฐบาล ดังนั้น จึงเป็นเรื่องที่ต้องสร้างความเข้าใจทั้งระบบ คงมีคำถามย้อนมาจากนักการเมืองอยู่เหมือนกันว่า อยากให้บิ๊กตู่ไปพิสูจน์ให้แน่ชัด ใครกันที่รวมหัวกับผู้ค้าข้าวและโรงสีหาผลประโยชน์จากส่วนต่างของราคาข้าวที่ตกต่ำเช่นนี้
ที่น่าจะเป็นภาพสะท้อนหรือเวรกรรมตามเล่นงานพวกที่ต่อต้านการแทรกแซงราคาพืชผลทางการเกษตรของรัฐบาลนักเลือกตั้ง คงเป็นคำกล่าวของท่านผู้นำในที่ประชุมที่ว่า หน่วยงานของรัฐ ทั้งหน่วยราชการ หน่วยงานที่เกี่ยวข้องและหน่วยงานด้านงบประมาณ ที่เป็นรัฐวิสาหกิจของรัฐบาล จำเป็นต้องหามาตรการช่วยเหลือที่อาจมีความแตกต่างจากการแก้ปัญหายามปกติ แม้รัฐบาลจะต้องขาดทุนหรือไม่ก็ตาม แต่ก็เป็นเรื่องที่รัฐบาลต้องดูแล
แล้วรัฐบาลไหนเล่าที่ไปไล่บี้เรียกค่าเสียหายจาก ยิ่งลักษณ์ ชินวัตร ด้วยข้อกล่าวหาว่าทำโครงการจำนำข้าวแล้วเสียหาย ทำให้เกิดการขาดทุน ซึ่งจุดนี้ทางอดีตนายกฯหญิงและทีมงานก็ยกมาอธิบายกับสังคมโดยตลอด การช่วยเหลือประชาชนโดยเฉพาะชาวนานั้น จะมาคิดกำไรขาดทุนไม่ได้ ยิ่งเป็นโครงการที่โอนเงินเข้าบัญชีชาวนาโดยตรงจะไปบอกว่าทุจริตได้อย่างไร
ไม่เพียงเท่านั้น ภาพบางอย่างที่สะท้อนถึงความไม่นิ่งผู้ที่เข้ามาบริหารบ้านเมืองด้วยอำนาจพิเศษแล้วต้องเผชิญความเดือดร้อนของประชาชน คงเป็นบทสัมภาษณ์ของ พลเอกประวิตร วงษ์สุวรรณ ต่อคำถามเรื่องราคาข้าวที่ถูกกว่าปุ๋ย ท่านก็ย้อนกลับคนที่ถามว่า “งั้นก็ไปขายปุ๋ยสิ” ชาวนาได้ยินคำตอบแบบนี้คงวังเวงน่าดู แค่เท่านี้ก็ทำให้รู้แล้วว่า จริงจังและเข้าใจต่อปัญหาของประชาชนหรือเปล่า
เหมือนอย่างที่เคยบอก กลุ่มปัญหาความเดือดร้อนที่ไม่ใช่ม็อบจัดตั้งนี่แหละคือสิ่งที่น่าห่วงไม่ว่ารัฐบาลจะมีที่มาแบบไหนก็ตาม ความเครียดของคนร่วมเรือแป๊ะต่อปัญหาของเกษตรกร ยังถอดรหัสได้จากการตอบคำถามนักข่าวของ มีชัย ฤชุพันธุ์ ในประเด็นที่คนของพรรคเพื่อไทยมีการตั้งข้อสังเกตว่าร่างรัฐธรรมนูญที่ไปเขียนเรื่องการกำหนดราคาผลิตผลทางการเกษตรจะต้องเป็นไปตามกลไกตลาด ทำให้รัฐบาลกำหนดนโยบายช่วยเหลือเกษตรกรยาก
ประธานกรธ.ถึงขั้นระบุว่า คนที่ตั้งข้อสังเกตเช่นนี้ขาดความเป็นมนุษย์อย่างสิ้นเชิง ทำไมต้องดุเดือดขนาดนั้น เพราะถ้าไม่ใช่แค่อธิบายให้คนทั่วไปได้รับรู้ทุกอย่างก็จบแล้ว พอออกอาการเลยทำให้คนรู้เลยว่า เวลานี้ท่านผู้นำและชาวคณะกำลังเผชิญกับภาวะขาลงอย่างแท้จริง ส่วนที่มีการดำเนินการในบางเรื่องซึ่งไม่ขอกล่าวถึง เห็นเจตนาชัดเจนว่าเป็นความต้องการเบี่ยงกระแสเพื่อลดแรงกระเพื่อมที่ถาโถมเข้าใส่รัฐบาล นี่ไงวิธีแบบการเมืองที่เหล่าคนดีทั้งหลายต่างพล่ามกันว่ามันชั่วช้าสามานย์