TASCO รักทรหดแฉทุกวัน ทันเกมหุ้น
หากยังไม่ความจำเสื่อมกันง่ายๆ คงจะยังพอจำได้ว่า เกือบตลอดทั้งปี 2558 บรรดานักวิเคราะห์ในตลาดหุ้นไทย พากันเชียร์ให้ซื้อหุ้นของ บริษัท ทิปโก้แอสฟัลท์ จำกัด (มหาชน) หรือ TASCO โดยชี้แนะข้อเด่นสารพัดของหุ้นบริษัทผลิตยางมะตอยรายใหญ่ที่สุดของอาเซียน พร้อมให้ราคาเป้าหมายสูงกว่า 40.00 บาทกันทั้งนั้น บางรายให้มากถึง 50 บาทก็ยังเคยมี
หากยังไม่ความจำเสื่อมกันง่ายๆ คงจะยังพอจำได้ว่า เกือบตลอดทั้งปี 2558 บรรดานักวิเคราะห์ในตลาดหุ้นไทย พากันเชียร์ให้ซื้อหุ้นของ บริษัท ทิปโก้แอสฟัลท์ จำกัด (มหาชน) หรือ TASCO โดยชี้แนะข้อเด่นสารพัดของหุ้นบริษัทผลิตยางมะตอยรายใหญ่ที่สุดของอาเซียน พร้อมให้ราคาเป้าหมายสูงกว่า 40.00 บาทกันทั้งนั้น บางรายให้มากถึง 50 บาทก็ยังเคยมี
นับตั้งแต่ราคาหุ้นของ TASCO ขึ้นไปทำราคาสูงสุดของรอบสุดท้ายที่ 41.00 บาท เมื่อวันที่ 13 มกราคม 2559 เป็นต้นมา ราคาหุ้นก็เป็นขาลงแบบซึมยาวนาน โดยมาพักอยู่ระดับรอบๆ 23.00 บาทอยู่ระยะหนึ่งก่อนที่จะร่วงลงต่อมาที่ระดับใต้ 20.00 บาทถึงทุกวันนี้
ล่าสุด ราคาเป้าหมายที่เคยให้กันไว้สูงลิ่ว ถูกปรับลดลงมาเหลือแค่เพียง 22.00 บาทในบทวิเคราะห์ของนักวิเคราะห์หลายสำนัก
คำถามว่า ทำไมนักวิเคราะห์ช่างไร้น้ำใจ ถึงขั้นถล่มราคาเป้าหมายชนิด “ดาบสิ้นปรานี”กัน
คำตอบคือ อย่าไปโทษนักวิเคราะห์เลย เพราะนักวิเคราะห์นั้นมีภารกิจชัดเจนว่าต้องไร้น้ำใจ และหาทางมองข้อมูลให้เป็นไปตามหลักวิชาไร้น้ำใจให้มากที่สุด
คำ “ไร้น้ำใจ” นี้ หมายถึง ปราศจากอคติ…ที่ภาษาอังกฤษเรียกไพเราะเสนาะหูว่า objectivity
ประเด็นมันอยู่ที่ผลประกอบการ ที่น่าผิดหวังมากกว่า เพราะ…ท้ายที่สุดแล้ว ทุกอย่างเป็นไปตามสูตร let porofit run…กำไรขับเคลื่อนราคาหุ้น
ผลประกอบการล่าสุดของ TASCO ไตรมาสสาม ดูจะส่อเค้าให้การปรับราคาเป้าหมายลง มีความสมเหตุสมผลมากขึ้น จะกล่าวโทษใคร คงไม่ได้
ผลประกอบการในช่วงไตรมาสสามของ TASCO ต่ำกว่าคาด อยู่ที่ระดับ 329 ล้านบาท ลดลง 77% เมื่อเทียบกับระยะเดียวกันปีก่อน และ 53% เมื่อเทียบกับไตรมาสที่ผ่านมา
แล้ว หากไม่รวมกำไรอัตราแลกเปลี่ยนและกลับรายการสำรองหนี้สูญ TASCO จะมีผลกำไรจากการดำเนินงานปกติอยู่ที่ 252 ล้านบาท ลดลง 82% เมื่อเทียบกับระยะเดียวกันปีก่อน และ 59% เมื่อเทียบกับไตรมาสที่ผ่านมา
การถดถอยของรายได้และกำไร เกิดจาก 2 เหตุหลัก คือ ยอดขายที่ลดลง 48% จากการส่งออกไปอินโดนีเซีย และเวียดนามที่ต่ำ เพราะงบประมาณการสร้างถนนถูกตัด และ จากอัตรากำไรขั้นต้นลดลงจาก 22.1% ในระยะเดียวกันปีก่อน เหลือเพียง 10% ในไตรมาสสามปีนี้ เพราะส่วนต่างราคาลดลงจากราคาขายที่เพิ่มน้อยกว่าต้นทุน
ยอดขายลดลง และกำไรที่ลดลง แต่ก็ยังมีกำไร ในยามตลาดขาลงอย่างนี้ เพราะผู้บริหารอย่างนายชัยวัฒน์ ศรีวรรณวัฒน์ ฝีมือแย่ คงไม่ใช่…แต่หากว่าเป็น “เหยื่อของสถานการณ์”…ก็คงไม่ห่างไกล และไม่แก้ตัวน้ำขุ่นๆ
ธุรกิจย่อมมีทั้งขาขึ้นขาลง ในยามขาลง แค่ประคองตัวไม่ให้ขาดทุน ก็ว่ายากเสนแสนยากแล้ว
ความหวังยังพอมี เพราะมูลค่าของบริษัทยังไม่ได้หายไปไหน เพราะหากดูตัวเลขบุ๊คแวลูล่าสุดของ TASCO อยู่ที่ระดับ 7.32 บาท เทียบกับเมื่อสิ้นปี 2559 ที่ระดับ 6.13 บาท ก็ยังถือว่าดีขึ้นทีเดียว ในขณะที่ส่วนผู้ถือหุ้นสิ้นไตรมาสสามปีนี้ ก็ไม่ได้เลวร้ายน่าเป็นห่วง เพราะมีมากถึง 11,191.53 ล้านบาท เทียบกับหนี้สินรวมที่มีอยู่แค่ 6,256.27 ล้านบาทก็ยังสบายๆๆๆ
ที่สำคัญ ยังมีความหวังเพราะหลังจากการเยี่ยมชมกิจการและพบผู้บริหารของ TASCO จะเห็นว่า อนาคตของการฟื้นคืนสู่ความรุ่งเรืองครั้งใหม่ของรายได้และกำไรยังมีให้เห็น…รำไรๆๆๆ
มีการประเมินจากฟากหนึ่งว่า ผลประกอบการในช่วงไตรมาส 4 ของปีนี้จะดีขึ้น แต่ตลอดปีหน้าจะฟื้นตัว จากส่วนต่างราคาและยอดส่งออกไปยังเวียดนามและอินโดนีเซีย โดยคาดว่าจะเติบโตขึ้น 18% ในปี 2560 และ 13% ในปี 2561 จากการเติบโตของยอดขายจากการส่งออก
แต่…ก็มีอีกฝั่งหนึ่งประเมินต่างออกไป ระบุว่า ผลประกอบการในไตรมาส 4 ของ TASCO ยังมีแนวโน้มจะไม่ดีตามที่คาด พร้อมกับประเมินกำไรไม่เกิน 500 ล้านบาท เนื่องจากประเทศลูกค้าหลักคือ จีน มีคำสั่งซื้อในราคาระดับต่ำมาก จะดีก็แต่ตลาดในประเทศ ที่มีการเร่งเบิกจ่ายงบประมาณปี 2560 แต่ราคาขายยางมะตอยยาก จะไม่ปรับเพิ่มขึ้น
ประเมินกันหลายทางอย่างนี้ แฟนพันธุ์แท้ของ TASCO…คงต้องทำใจ ว่ารักแท้ต้องรอ รักไม่แท้แล้วทิ้ง…
คนที่อยากใช้สูตร มาเร็ว เคลมเร็ว….คงต้องไปหาซื้อหุ้นตัวอื่นๆ
ของพรรค์นี้ จะห้ามหรือชี้นิ้วสั่งใครด้วย มาตรา 44 คงไม่ได้..เพราะไม่ได้ชื่อประยุทธ์ กันทุกคน
“อิ อิ อิ”