ทรัมป์ และหุ้นลูบคมตลาดทุน

จริงแล้วก็ไม่ได้อยู่นอกเหนือความคาดหมายนะ กับชัยชนะของ “โดนัลด์ ทรัมป์”


ธนะชัย ณ นคร

 

จริงแล้วก็ไม่ได้อยู่นอกเหนือความคาดหมายนะ กับชัยชนะของ “โดนัลด์ ทรัมป์”

ก่อนหน้านี้ เพื่อนชาวอเมริกัน ก็บอกเป็นการส่วนตัวกับผมว่า เขามั่นใจว่าทรัมป์ จะได้รับการเลือกตั้งเป็นประธานาธิบดีคนต่อไปของสหรัฐฯ อย่างแน่นอน

ดังนั้น ที่บอกว่าเป็นข่าว “ช็อก” สำหรับผมจึงช็อก

แต่อย่าลืมว่า ไม่ว่าจะเป็น ทรัมป์ หรือ นางคลินตัน

ทั้ง 2 คน ต่างก็ต้องขับเคลื่อนประเทศสหรัฐฯ ไปตามนโยบายของพรรคที่ตนเองสังกัด

ไม่ใช่กำหนดนโยบายแบบส่วนตัวหรือบุคคล

สิ่งที่เคยหาเสียงไว้ ก็คือการหาเสียง

แต่พอมาบริหารประเทศจริงๆ อาจเป็นอีกวิธีการหนึ่ง เพราะเขาต้องมีรัฐสภาคอยตรวจสอบอยู่แล้ว

และหากมีอะไรไม่ชอบมาพากล ก็อาจถูกถอดถอนได้

เช่น นโยบายเรื่องของการกีดกันทางการค้า

ผมฟังคุณปริญญ์ พานิชภักดิ์ กรรมการผู้จัดการ บล.ซี แอล เอส เอ พูดเรื่องนี้

เขาบอกว่า สหรัฐฯ มีการค้าขายกับประเทศในโซนอเมริกาใต้ค่อนข้างมาก และหากไปกีดกันทางการค้าแบบที่เคยหาเสียงไว้นั้น คนอเมริกันได้ตกงานกันเยอะแน่นอน

หรือหากมีปัญหากีดกันทางการค้าขึ้นมาจริงๆ ทางออกของสหรัฐฯ ก็ต้องมาค้าขายกับกลุ่มในอาเซียนให้มากขึ้น

นั่นเพราะทุกวันนั้น ยังค้าขายกันเองน้อยมาก

จากมุมของคุณปริญญ์ ทำให้มองได้ว่า นโยบายที่เคยหาเสียงไว้ อาจปรับเปลี่ยนได้

ส่วนเรื่องหุ้นนั้น นึกว่าจะมีแต่เจ๊กตื่นไฟ

พวกฝรั่งก็ตื่นไฟเหมือนกัน

เปิดตลาดหุ้นยุโรปมาในช่วงบ่ายตามเวลาประเทศไทย ดัชนีปรับลงกันถ้วนหน้า โดยเฉพาะของเยอรมัน จัดหนักทันที ดิ่งพสุธา 383 จุด

ส่วนตลาดหุ้นของไทยถูกมองว่า จะร่วงตามแน่ๆ

เพราะดัชนีปรับลงไปติดลบกว่า 23.52 จุด มาที่ 1,486.32 จุด ซึ่งเดิมนั้น ก็คิดว่าจะไม่รอด เพราะหลุดแนวรับจิตวิทยาที่ระดับ 1,500 จุด

แต่ก็สามารถรีบาวด์ได้ มาปิดตลาดติดลบไปเพียง  0.41 จุด ปิดที่ 1,509.43 จุด

มูลค่าการซื้อขายหนาแน่นทีเดียว  9.33 หมื่นล้านบาท

ส่วนนักลงทุนต่างชาติขายสุทธิต่อเนื่องเป็นวันที่ 13 ติดต่อกัน

ทว่าตัวเลขก็เบาบางลง

นักวิเคราะห์จากบริษัทหลักทรัพย์ต่างๆ หลายคนมองว่า ในระยะสั้น ตลาดหุ้นเกิดใหม่อาจได้รับผลกระทบ หรือผันผวนจากกระแสเงินทุนไหลออก

แต่เมื่อผ่านไปสักระยะ จะตั้งหลักได้ และมีโอกาส“ไปต่อ”

ทว่าในมุมมองของคุณวรวรรณ ธาราภูมิ ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บลจ.บัวหลวง ได้มองไปอีกอย่าง

โดยบอกว่า ระยะสั้น น่าจะส่งผลดีต่อตลาดหุ้นเกิดใหม่ เพราะความผันผวนของหุ้นสหรัฐฯ  จากที่นักลงทุนจะชะลอการลงทุนในช่วงแรก เพื่อรอดูความชัดเจนเกี่ยวกับนโยบาย

ส่วนนโยบายกีดกันทางการค้า ก็อาจส่งผลไม่ดีต่อหุ้นกลุ่มส่งออก

ส่วนตลาดหุ้นเอเชียก็อาจผันผวนบ้าง

แต่ผลระยะยาว ตลาดหุ้นเกิดใหม่ โดยเฉพาะตลาดหุ้นในเอเชีย จะยังคงน่าสนใจ เพราะนอกจากเศรษฐกิจเติบโตสูงกว่าตลาดหุ้นที่พัฒนาแล้ว

ยังมีปัจจัยอื่นๆ อีกมาก ที่เข้ามาหนุนการเติบโต

พร้อมสรุปว่า ตลาดหุ้นยังเป็นสินทรัพย์ที่นักลงทุนควรให้น้ำหนักในการลงทุนมากที่สุด

แต่จะเป็นสัดส่วนเท่าไหร่ในพอร์ตนั้น

ย่อมขึ้นกับแต่ละบุคคลครับ

 

 

 

 

 

 

 

 

 

Back to top button