พาราสาวะถี อรชุน

ฮือฮากับพระจันทร์ดวงใหญ่ (ขึ้นกว่าเดิม) ในคืนวันเพ็ญเดือน 12 ถามว่านอกจากเป็นปรากฏการณ์ทางดาราศาสตร์ที่มนุษยชาติจะได้เห็นเป็นครั้งแรกในรอบ 68 ปีแล้วมีอะไรอีกไหม ในมุมโหราศาสตร์ก็พยากรณ์กันไปต่างๆ นานา ถ้าพลาดชมหนนี้ที่บอกว่าจะต้องรอนานนั้น นักดาราศาสตร์คำนวณมาแล้วว่า จะเกิดปรากฏการณ์เช่นนี้อีกครั้งใน 18 ปีข้างหน้า


ฮือฮากับพระจันทร์ดวงใหญ่ (ขึ้นกว่าเดิม) ในคืนวันเพ็ญเดือน 12 ถามว่านอกจากเป็นปรากฏการณ์ทางดาราศาสตร์ที่มนุษยชาติจะได้เห็นเป็นครั้งแรกในรอบ 68 ปีแล้วมีอะไรอีกไหม ในมุมโหราศาสตร์ก็พยากรณ์กันไปต่างๆ นานา ถ้าพลาดชมหนนี้ที่บอกว่าจะต้องรอนานนั้น นักดาราศาสตร์คำนวณมาแล้วว่า จะเกิดปรากฏการณ์เช่นนี้อีกครั้งใน 18 ปีข้างหน้า

สำหรับเมืองไทยอะไรก็ตามแต่แม้จะเป็นปรากฏการณ์ทางธรรมชาติ ก็จะถูกทำนายทายทักโดยหมอดูหมอเดา เข้าตำราโหราศาสตร์ คาดการณ์กันไปสารพัด แต่มรรคผลใดๆ จะเกิดขึ้นนั้นมันขึ้นอยู่กับการปฏิบัติหรือการกระทำ สิ่งที่พระพุทธองค์ตรัสไว้ยังคงเป็นความจริงเสมอ ดีชั่วอยู่ที่ตัวทำ ใครจะดีจะเลวอย่างไรย่อมอยู่ที่ว่าใครผู้นั้นทำกรรมอะไรไว้

ย้ำแล้วย้ำอีก ก่อนการประชุมครม.เมื่อวันอังคารที่ผ่านมา พลเอกประยุทธ์ จันทร์โอชา ยืนยันกับ สุเทพ คงมาก นายกสมาคมชาวนาและเกษตรกรไทยที่นำชาวนา 50 คนเข้าขอบคุณรัฐบาลในการออกมาตรการช่วยเหลือในช่วงข้าวราคาตกต่ำ รัฐบาลช่วยชาวนาทั้งระบบ ไม่ได้บอกให้เลิกปลูกข้าว แต่เมื่อเสียหายแล้วจะปลูกไปทำไม วอนทุกกลุ่มเข้าใจ ก่อนจะตบอกยืนยันรัฐบาลคสช.ไม่สร้างภาพ จริงใจ ไม่โกหก

ในฐานะประชาชนก็ต้องยอมรับว่าท่านผู้นำนั้นมีความจริงใจแน่ เพียงแต่ว่าแนวทางในการแก้ไขปัญหาที่ผ่านมานั้นถูกต้องหรือไม่ยังเป็นเครื่องหมายคำถาม ส่วนเรื่องการแก้ปัญหาราคาข้าวตกต่ำ ไม่จำเป็นต้องไปวิจารณ์ว่าถูกทางถูกต้องหรือไม่ ของพรรค์นี้มันอยู่ที่ใครถืออำนาจ โดยหลักการเมื่อเป็นนโยบายของรัฐบาลสิ่งนั้นย่อมไม่ถูกตีความว่าเป็นปัญหา เนื่องจากเป้าหมายไม่ว่ารัฐบาลประชาธิปไตยหรือเผด็จการ ย่อมมีเป้าหมายเดียวกันคือผลประโยชน์ตกอยู่ที่ประชาชน

ที่พูดมาไม่ได้หมายความว่าจะไปถือหางจำนำข้าว เรื่องราวที่อยู่ในชั้นศาลก็ต้องว่ากันไปตามกระบวนการ ถูกผิดให้กระบวนการยุติธรรมตัดสิน แต่ประเภทชี้นำและคอยยุแยงตะแคงรั่วให้ท่านผู้นำจัดการฝ่ายเห็นต่างนั้น ตรงนี้คงต้องทบทวน พวกทำตัวเป็นบ่างต้องการอะไร ในเมื่อผู้มีอำนาจอยากเห็นความสามัคคี แต่ยังมีประเภทเลือกข้างแบ่งสี จะปล่อยให้เป็นอยู่อย่างนี้จริงๆ หรือ

ปมจากการที่หลายฝ่ายช่วยกันขายข้าว เห็น วรงค์ เดชกิจวิกรม โหมกระพือโจมตี ยิ่งลักษณ์ ชินวัตร โครมๆ ทั้งเรื่องการสร้างภาพและขายข้าวราคาถูกกิโลกรัมละ 20 บาทเท่ากับกดราคาชาวนา ทั้งๆ ที่ราคาขายควรที่จะอยู่กิโลกรัมละ 32-35 บาท ทีนี้คงเป็นเรื่องที่คนช่างพูดจะต้องตอบคำถามของสังคมบ้าง ที่พรรคประชาธิปัตย์รับข้าวจากชาวนาพิจิตร ซึ่งเป็นข้าวหอมมะลิมาขาย 12 ตันนั้นเขาเรียกว่าอะไร

ช่วยชาวนานั้นถูกต้อง ส่วนราคาที่ตั้งขายกิโลกรัมละ 25 บาท แพงกว่าของยิ่งลักษณ์ 5 บาทแต่ก็ไม่ถึงราคาที่วรงค์คุยข่มหรือขย่มยิ่งลักษณ์และชาวคณะไว้ มันหมายความว่าอย่างไร อยากเห็นอาการแถของคนช่างแฉอยู่เหมือนกัน เช่นนี้เรียกว่ากดราคาชาวนาด้วยหรือไม่ คงเป็นเหมือนอย่างที่มีคนใกล้ชิดผู้หลักผู้ใหญ่พรรคเก่าแก่คอยสะกิด ไม่อยากให้คะแนนเสียงของพรรคลดลงเรื่อยๆ ต้องไปเตือนให้วรงค์และพวกช่างจ้อเพลาๆ การออกมาพูดแสดงความเห็นเสียบ้าง

ช่วงก่อนหน้านี้เห็นรัฐบาลโดยเฉพาะ สมคิด จาตุศรีพิทักษ์ โหมประโคมข่าวที่อ้างว่าดีเรื่องการได้รับจัดอันดับความสะดวกในการลงทุนของนักธุรกิจต่างชาติ ถึงขั้นประกาศที่จะไปจ้างเวิลด์แบงก์ให้มาเป็นที่ปรึกษา เพื่อที่จะปลดล็อกความยุ่งยากดังกล่าวลงให้ได้ เป้าหมายอยู่ที่จะขยับอันดับให้ดีกว่าเดิม แต่ก็มีบางคนบางฝ่ายตั้งปุจฉาว่าอย่างน่าสนใจ อันดับที่ดีขึ้นนั้นมันสะท้อนถึงภาวการณ์ลงทุนที่แท้จริงหรือไม่

คนหนึ่งที่ตั้งข้อสังเกตพร้อมอธิบายให้เห็นภาพคือ พิชัย นริพทะพันธุ์ ที่บอกว่าท่าทีของสมคิดแสดงให้เห็นว่าหัวหน้าทีมเศรษฐกิจของรัฐบาลหมดปัญญาที่จะแก้ไขปัญหาการลงทุนจากต่างประเทศได้เองแล้ว และอาจจะเป็นแนวคิดที่หลงทาง เพราะจะเกิดประโยชน์อะไรที่อันดับความสะดวกในการทำธุรกิจของไทยดีขึ้นแต่กลับไม่มีนักลงทุนต่างประเทศเข้ามาลงทุน

อย่างเช่นปีนี้อันดับของไทยดีขึ้นมา 3 อันดับ แต่การลงทุนจากต่างประเทศของไทยกลับหายไปเกือบหมด และหลายประเทศในอาเซียนที่มีอันดับความสะดวกในการทำธุรกิจต่ำกว่าไทยมาก เช่น เวียดนาม อันดับที่ 82 อินโดนีเซีย อันดับ 91 ฟิลิปปินส์ อันดับ 99 แต่การลงทุนจากต่างประเทศกลับมีมากกว่าไทยหลายเท่า

ดังนั้น อันดับความสะดวกในการทำธุรกิจก็เป็นปัจจัยหนึ่งแต่ไม่ใช่ทั้งหมด รัฐบาลน่าจะถามนักลงทุนต่างประเทศเลยดีกว่าว่าทำไมถึงไม่ลงทุนและแก้ปัญหาให้ถูกจุด โดยอาจนำปัญหาของไทยที่เวิลด์อิโคโนมิคฟอรั่มที่จัดอันดับความสามารถการแข่งขันของไทยลดลง 2 ปีติดมาพิจารณา ซึ่งรวมถึงปัญหาหลักที่การเมืองของไทยไม่เป็นที่ยอมรับของต่างประเทศด้วย

ถ้าสมคิดยังควานหาสาเหตุของปัญหาที่แท้จริงไม่เจอและไปแก้ผิดทางก็จะแก้ปัญหาไม่ได้ เหมือนกับที่รัฐบาลบอกว่าราคาข้าวตกเพราะสื่อกับนักการเมือง รวมไปถึงโรงสี ซึ่งไม่ใช่สาเหตุของปัญหาที่แท้จริง ชาวนาถึงได้ลำบากกันขนาดนี้ ดังนั้น สมคิดต้องตั้งหลักคิดให้ถูกทางก่อนที่ประเทศจะย่ำแย่ไปกว่านี้ ซึ่งหากทำไม่ได้จะทำให้ต้องใช้เวลาแก้ไขฟื้นฟูการลงทุนอีกหลายปี และผลกระทบจากเรื่องไม่มีการลงทุนนี้จะทำให้คนในประเทศลำบากกันอีกนาน

แต่ดูท่าว่าคำเตือนดังกล่าวคงไม่มีความหมาย เพราะในทางกลับกัน รัฐบาลกลับชื่นชอบเสียงสรรเสริญและโพลต่างๆ ที่เห็นว่าบิ๊กตู่และชาวคณะทำงานได้ผลเป็นเลิศ โดยเฉพาะผลของซูเปอร์โพลล่าสุด ถึงขนาดที่ว่า พลเอกประวิตร วงษ์สุวรรณ ต้องเอ่ยปากว่าประชาชนส่วนใหญ่อยากเห็นประเทศชาติอยู่ในความสงบ ไม่ขัดแย้ง จึงขอให้สื่อมวลชนมีความคิดเหมือนประชาชน อะไรที่จริงก็นำเสนอได้ อะไรที่ไม่จริงก็อย่านำเสนอสร้างความเชื่อมโยงจนเป็นประเด็นที่สร้างความเสียหาย

เขาคิดกันอย่างนี้ การไปชี้แนะชี้นำคงไม่เกิดประโยชน์ใดๆ ยิ่งเป็นผลโพลที่ตรงข้ามสร้างความเสียหายต่อรัฐบาลไม่ต้องนำมาพูดถึง เพราะยุคสมัยนี้ต้องการฟังแต่สิ่งที่ไพเราะรื่นหูเท่านั้น มิเช่นนั้น คนบางคนที่คุมสำนักงานซึ่งทำโพลระบุว่าประชาชนชื่นชอบท่านผู้นำถึงร้อยละ 99.50 คงไม่ได้ดิบได้ดีถึงขั้นไปนั่งเป็นปลัดกระทรวงแน่นอน นี่แหละที่เขาบอกอำนาจเบ็ดเสร็จเด็ดขาดชี้อะไรไม่มีใครกล้าขัดและต้องเห็นดีเห็นงามตามไปด้วย

Back to top button