ฝรั่งทิ้งไม่เลี้ยง!โมนิก้าและทีมงาน
*ตอนแรกดูเหมือนดัชนีจะเริ่มตั้งลำอ่อนๆ เพื่อรอจังหวะเทคตัวขึ้นไปหาแนวต้าน 1,500 จุดอีกรอบ แต่ทำไปทำมากลับมีแรงเทขายจากฝรั่งตาน้ำข้าวออกมาอย่างต่อเนื่อง บวกกับกองทุนตัวแสบก็ผสมโรงเทขายในบางจังหวะ ส่งผลให้ดัชนีเป๋ไม่เป็นท่ากันเลยทีเดียว ซึ่งฉุดให้ตลอดทั้งสัปดาห์ดัชนีวนเวียนไปมาที่ระดับ 1,465-1,485 จุด พร้อมกับสร้างความอึดอัดใจให้กับผู้เล่นอย่างใหญ่หลวงนะคะ
*ตอนแรกดูเหมือนดัชนีจะเริ่มตั้งลำอ่อนๆ เพื่อรอจังหวะเทคตัวขึ้นไปหาแนวต้าน 1,500 จุดอีกรอบ แต่ทำไปทำมากลับมีแรงเทขายจากฝรั่งตาน้ำข้าวออกมาอย่างต่อเนื่อง บวกกับกองทุนตัวแสบก็ผสมโรงเทขายในบางจังหวะ ส่งผลให้ดัชนีเป๋ไม่เป็นท่ากันเลยทีเดียว ซึ่งฉุดให้ตลอดทั้งสัปดาห์ดัชนีวนเวียนไปมาที่ระดับ 1,465-1,485 จุด พร้อมกับสร้างความอึดอัดใจให้กับผู้เล่นอย่างใหญ่หลวงนะคะ
*เนื่องจากยอดขายสุทธิตลอดเดือนพ.ย. อยู่ในระดับ 2.48 หมื่นล้านบาท แถมยังเป็นการเทขายอย่างต่อเนื่อง ย่อมเป็นเรื่องที่กระทบโดยตรงกับหุ้นบลูชิพอย่างเลี่ยงไม่ได้ จนกลายเป็นแรงกดดันที่ทำให้นักลงทุนบางส่วนเริ่มชะลอการลงทุน เพราะเมื่อดูจากเนื้อเรื่องที่จะเดินต่อไปในภายภาคหน้า ยังต้องเจอกับเรื่องการประชุมโอเปก ซึ่งจะทำให้หุ้นกลุ่มพลังงานสั่นสะเทือนไม่ใช่น้อยเจ้าค่ะ
*ถัดจากนั้นก็จะเป็นเรื่องการประชุมเฟดในช่วงต้นเดือนธ.ค. ซึ่งจะส่งผลให้เกิดการเคลื่อนย้ายเงินทุนอีกระลอก และเมื่อดูจากทั้ง 2 เหตุการณ์ที่กำลังจะเกิดขึ้นในไม่ช้า “โมนิก้า” ถือเป็นเรื่องที่ทำให้บรรยากาศการลงทุนออกอาการรวนอย่างหนัก พร้อมกับเกิดปรากฏการณ์ “เปิดบวก ปิดลบ” ให้เห็นถี่ขึ้นเรื่อยๆ ซึ่งเป็นการย้ำหัวหมุดว่า ได้กำไรแล้วถอยไปตั้งรับนะจ๊ะ
*วานนี้ถึงเห็นดัชนีขึ้นไปยืนที่ระดับ 1,478.30 จุด ต่อจากนั้นโดนถล่มออกมาเรื่อยๆ จนดัชนีลงมายืนอยู่ที่ 1,473.85 จุด ลบไป 0.79 จุด ด้วยมูลค่า 5.12 หมื่นล้านบาท “โมนิก้า” ถือเป็นอีกหนึ่งปฐมบทที่นักลงทุนต้องหันมามองอย่างจริงจัง เพราะรูปแบบการลงทุนในเที่ยวนี้ มีความไม่แน่นอนค่อนข้างสูง จึงต้องเลือกเฟ้นหุ้นพื้นฐานดีจริงๆ เก็บไว้ในพอร์ต เพราะตลาดหุ้นกำลังเข้าสู่โหมดเขย่าเอาของดี หุ้นตัวไหนไม่เจ๋งจริง ขึ้นไม่ไหวหรอกค่ะ
*เหมือนกับในรายของ FN แสดงกำลังภายในด้วยการกระชากขึ้นมาปิดที่ 6.40 บาท บวกไป 0.95 บาท หรือขึ้นไป 17.50% ด้วยมูลค่า 1 พันล้านบาท “โมนิก้า” มองเป็นเหตุการณ์ที่สอดรับกับการเปิดสาขาใหม่เป็นแห่งที่ 8 ซึ่งจะผลักดันให้ตัวเลขรายได้และกำไรเพิ่มขึ้นอย่างมีนัยสำคัญ หรือถ้าคิดไม่ออกจริงๆ เดี๊ยนใบ้ให้นิดหนึ่งว่า net margin ของธุรกิจอยู่ที่ 15% ซึ่งตีความได้ว่า กำไรไตรมาส 4 น่าจะชู้ตโด่งเป็นพิเศษ หุ้นเลยคึกเป็นม้า ไม่เชื่อลองถามน้องเบญจ์เยี่ยมก็ได้นะคะ
*ส่วนรายที่คาดคั้นเท่าไหร่ ก็คงไม่ได้อะไรออกมาจากปาก คงต้องพุ่งเป้าไปที่ DTAC ก่อนใครเพื่อน และเหตุผลที่ทำให้หุ้นตัวนี้ยังได้รับความสนใจตลอดเวลา ล้วนมาจากท่าทีแทงกั๊กไปหมดทุกอย่าง บวกกับราคาหุ้นชอบกระชากสวนภาวะตลาดหุ้น ทุกคนเลยสงสัยว่า น่าจะมีอะไรในกอไผ่! ล่าสุดเห็นหุ้นเด้งขึ้นมาปิดที่ 36.25 บาท บวกไป 1.75 บาท หรือขึ้นไป 5% ด้วยมูลค่า 2.79 พันล้านบาท มันทำให้ผู้คนคิดไปไกลกว่าเดิมอีกเจ้าค่ะ
*ผสมโรงกับคำสัมภาษณ์ของ “เฮียฐากร” เลขาธิการ กสทช. ผ่านทางรายการ “ข่าวหุ้นเจาะตลาดออนเรดิโอ” ทางคลื่น 98.50MHz มีลักษณะแบ่งรับแบ่งสู้ ไม่ยอมพูดว่า “ทำได้” หรือ “ทำไม่ได้” เท่ากับเป็นแรงกระตุ้นให้ผู้คนหันมาสนใจดีลควบรวมที่เคยเป็นข่าวอีกครั้งหนึ่ง “โมนิก้า” จึงไม่ขอกล่าวโทษใครทั้งสิ้นที่ทำให้เรื่องราวมันยุ่งเหยิงขึ้นไปอีก เพราะมันไม่ชัดเจนตั้งแต่เริ่มต้น วันนี้เลยไม่มีอะไรที่ชัดเจนสักเรื่องไงล่ะค่ะ
*ส่วนที่ชัดเว่อร์เกินไป “โมนิก้า” ขอย้ายสายตามาดูที่หุ้น GL หลังราคาหุ้นทะยานขึ้นอย่างไม่หยุดหย่อน จนล่าสุดขึ้นมายืนอยู่ที่ 49.75 บาท บวกไป 2 บาท หรือขึ้นไป 4% ด้วยมูลค่า 755 ล้านบาท ซึ่งเป็นการเทรดบนค่า P/E 78 เท่า มันเป็นการซื้ออนาคตที่น่ากลัวเกินไปจริงๆ ยกเว้นเชื่อมั่นว่า ผู้บริหารก๊วนญี่ปุ่นไม่ทำให้ผิดหวัง ก็ตะลุยกันไปให้สุดซอย เพราะบางปีก็เคยเทรดบน P/E 100 เท่า มาแล้ว แค่นี้ไม่คณามือหรอกค่ะ
*เช่นเดียวกับในราย JAS ร่วมด้วยช่วยกัน“ปั่นไป ปั่นมา” จนไม่หลงเหลือสภาพแบบนี้ “โมนิก้า” กลับมองเป็นสีสันของการลงทุนในยุค 4.0 เพราะทุกคนต่างรับรู้กันเป็นอย่างดีว่า หุ้นตัวนี้มาด้วยเกมหุ้นล้วนๆ การขึ้นลงแต่ละรอบย่อมแฝงไว้ด้วยนัยยะมากมาย ล่าสุดเห็นหุ้นลงมายืนอยู่ที่ 7.40 บาท ลบไป 0.65 บาท หรือลงไป 8% ด้วยมูลค่า 1.14 พันล้านบาท มันไม่มีอะไรต้องคิดมากจริงๆ นะคะ
*ส่วนที่ต้องคิดมากขึ้นมานิดหนึ่ง “โมนิก้า” กลับมองไปที่หุ้น TSF เพราะแพทเทิร์นถูกเซ็ทไว้ 2 เรื่องด้วยกันคือ การร่วมทุนมีความคืบหน้าไปมาก-เรื่องคดีความอยู่ในทิศทางที่ดีขึ้น ซึ่งเป็นเกมระยะสั้นๆ ของพวกนักลงทุนรายใหญ่ที่ชอบเข้ามาปั่นกระแส ล่าสุดหุ้นวิ่งขึ้นมาปิดที่ 0.29 บาท บวกไป 0.03 บาท หรือขึ้นไป 11.50% ด้วยมูลค่า 302 ล้านบาท มันเป็นเรื่องของคนที่ชื่นชอบความเสี่ยงเท่านั้นจ้า
*อุทาหรณ์เรื่องดังกล่าวดูได้จาก ESSO ซึ่งวันก่อนหน้าประมาณ 4 สัปดาห์ มีการบิวด์กระแสกันอย่างเมามัน คนนั้นก็จะเอา คนนี้ก็จะเอา พอทำข่าวไปทำข่าวมา เริ่มมีความชัดเจนในทำนองไม่มีใครอยากซื้อจริง หุ้นจึงเกิดอาการอ่อนตัวลงมายืนอยู่ที่ 11.50 บาท ลบไป 0.90 บาท หรือลงไป 7.30% ด้วยมูลค่า 890 ล้านบาทแบบนี้ เดี๋ยวคงมีการจุดกระแสขึ้นอีกรอบแน่ๆ เจ้าค่ะ
*อ๊ะ…อ๊ะ…อ๊ะ…เกือบลืมเม้าท์ถึง KBANK ไปเสียแล้ว จึงขอทิ้งท้ายด้วยอาการแกว่งตัวออกมาด้านข้างมาระยะหนึ่ง แต่วานนี้ดันเด้งขึ้นมาปิดที่ 170 บาท บวกไป 3.50 บาท หรือขึ้นไป 2.10% ด้วยมูลค่า 1 พันล้านบาท แถมเป็นการขึ้นในจังหวะที่ฝรั่งตาน้ำข้าวสาดหุ้นออกมาหนักๆ กองทุนตัวแสบก็ทิ้งหุ้น ปอบผีฟ้าก็ถอยฉาก แสดงว่า นี่เป็นพลังของแมงเม่าล้วนๆ วันนี้หุ้นถึงต้องเดินหน้าขึ้นไปทดสอบ 174 บาท เพื่อทำให้เป็นการกลับทิศอย่างเต็มตัวนะคะ