ฟันด์โฟลว์ และ LTFลูบคมตลาดทุน
วานนี้ (21 พ.ย.) นักลงทุนต่างชาติ หรือฟันด์โฟลว์ขายสุทธิในตลาดหุ้นไทยเป็นวันที่ 21 ติดต่อกัน
ธนะชัย ณ นคร
วานนี้ (21 พ.ย.) นักลงทุนต่างชาติ หรือฟันด์โฟลว์ขายสุทธิในตลาดหุ้นไทยเป็นวันที่ 21 ติดต่อกัน
หรือขายออกไปอีก 2,752 ล้านบาท
ร่วม 21 วัน ฟันด์โฟลว์ขายสุทธิแล้วกว่า 3.60 หมื่นล้านบาท
แต่หากนับจากต้นปีมาถึงวานนี้ ฟันด์โฟลว์ยังคงเหลือซื้อสุทธิอีก 8.60 หมื่นล้านบาท จากที่เคยมียอดซื้อสุทธิสูงกว่า 1.22 แสนล้านบาท
อย่างที่พอรับทราบกัน
นักลงทุนต่างชาติไม่ได้ขายในตลาดทุนไทยเท่านั้น
ทว่า ตลาดหุ้นในภูมิภาค เช่น ไต้หวัน ฟิลิปปินส์ อินโดนีเซีย ก็มีการขายออกมาเช่นกัน
และขายเป็นวันที่ 18-19 เท่าๆ กับของตลาดหุ้นไทย
สาเหตุของการขายก็มาจาก เพื่อรอนโยบายที่ชัดเจน หลังจาก “โดนัลด์ ทรัมป์” มีชัยชนะในการเลือกตั้งประธานาธิบดีของสหรัฐฯ
ดังนั้นจึงต้องมีการ “ปรับพอร์ต”
ก่อนหน้านี้ ก็เคยถามนักวิเคราะห์หลายคนเกี่ยวกับเรื่องนี้
ต่างก็มองตรงกันว่า ไม่ใช่มาจากปัจจัยในประเทศ แต่มาจากต่างประเทศเป็นหลัก
เพราะนอกเหนือจากนโยบายของทรัมป์ แล้ว การประชุมของธนาคารกลางสหรัฐ หรือเฟด เกี่ยวกับการปรับดอกเบี้ยนโยบาย ก็เป็นอีกสาเหตุด้วย
การประชุมในรอบนี้ต่างคาดกันว่า เฟดน่าจะปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ยแน่นอน
จากเดิมระดับ 0.25-0.50% เพิ่มเป็น 0.50-0.75%
จะว่าไปแล้วดอกเบี้ยนโยบายที่ปรับขึ้นมาครั้งนี้ หากนำมาเทียบเคียงกับผลตอบแทนที่ลงทุนในตลาดหุ้นของไทย
คำตอบก็คือ ของเรายังมีผลตอบแทนที่สูงกว่า
ดังนั้น จึงมองกันว่า ปัจจัยหลักๆ เลย ก็น่าจะมาจากรอความชัดเจนเกี่ยวกับนโยบายของประธานาธิบดีคนใหม่มากกว่า
จึงต้องนำเงินไปลงทุนในสินทรัพย์ที่มีความเสี่ยงต่ำไว้ก่อน
ประกอบกับหากดัชนีหุ้นไทยยังเคลื่อนไหวระดับ ณ ปัจจุบันอยู่ นักวิเคราะห์ต่างมองว่า บรรดาต่างชาติก็ยังคงมีกำไร
การขายของฟันด์โฟลว์ในช่วงนี้ เป็นจังหวะเดียวกันกับที่ถูกคาดหมายว่าจะมีเงินจากกองทุนรวมหุ้นระยะยาว หรือ LTF เข้ามาช่วยหนุนตลาดได้
แต่ปรากฏว่า ในปีนี้อาจจะไม่ได้มีข่าวดีเช่นว่านั้น
จากข้อมูลของผู้จัดการกองทุนต่างออกมายอมรับว่า ในปีนี้เงินจากกองทุน LTF ในช่วงหลายปีนี้นั้น
ไม่น่าจะคึกคักเหมือนเช่นปีก่อนๆ หน้านี้ สักเท่าไหร่
มีปัจจัยที่เข้ามาเป็นตัวแปรค่อนข้างมาก
ทั้งการเลื่อน หรือปรับเวลาของ LTF จาก 5 ปี เป็น 7 ปี ทำให้คนที่จะซื้อมองว่า มันยาวเกินไป
ยังไม่รวมถึงช่องทางการลดหย่อนภาษีอื่นๆ ที่มีเข้ามาให้เลือกมากขึ้น เช่น การออมเงินผ่านการประกันชีวิต ฯลฯ
แต่การที่ดัชนีหุ้นไทย ยังคงยืนแถวๆ ระดับ 1,470-1,480 จุดได้ ก็ยังนับว่าอยู่ในระดับที่ดี และก็ใกล้เคียงกับการคาดการณ์ของนักวิเคราะห์หลายคนที่ให้เป้าหมายดัชนีปีนี้ไว้ 1,500–1,550 จุด
ตลาดหุ้นไทยยังนับว่ามีเสน่ห์และน่าสนใจ
ล่าสุด MSCI จะมีการประกาศเพิ่มน้ำเหนักตลาดหุ้นไทยจาก 2.22% เป็น 2.29%
นั่นแสดงว่า ผลประกอบการบริษัทจดทะเบียนหรือ บจ. ของตลาดหุ้นไทย ยังมีทิศทางที่ดี
วานนี้ ตลาดหลักทรัพย์ (ตลท.) ก็ได้แจ้งตัวเลขกำไรสุทธิของ บจ. ไตรมาส 3/59 ออกมากว่า 2.08 แสนล้านบาท เพิ่มขึ้น 251%
และหากดูในช่วง 9 เดือนแรกของปีนี้ ทุกกลุ่มธุรกิจก็ยังมีกำไรสุทธิเพิ่มขึ้น
ผมเห็นบทวิเคราะห์ของ บล.เอเซีย พลัส ก็ได้ปรับเพิ่มน้ำหนักหุ้นไทย พร้อมคาดว่ากำไรสุทธิปีนี้จะเพิ่มขึ้นจากที่เคยคาดการณ์ไว้
ในช่วงนี้แม้บางวันตลาดจะดูซึมๆ มูลค่าการซื้อขายหดหายไปบ้าง
แต่ก็เป็นจังหวะดีที่จะเข้าลงทุน