เริ่มขอเวลานอกโมนิก้าและทีมงาน
*ดูเหมือนอารมณ์ของผู้คนในตลาดหุ้นจะเกิดอาการเซ็งๆ กันอย่างถ้วนหน้า จึงไม่มีอารมณ์เคาะขวาเหมือนก่อนหน้านี้ ส่งผลให้มูลค่าการซื้อขายซบเซาอย่างรวดเร็ว พร้อมกับเกิดคำถามขึ้นมาในใจว่า “เข้าตัวไหน โดนทุกที” มันเป็นสถานการณ์ที่ทำให้ “โมนิก้า” ต้องกลับไปคิดทบทวนเรื่องราวที่เกิดขึ้นในรอบ 1 เดือนที่ผ่านมา มีตัวแปรไหนที่ทำให้เชื่อว่า ดีกว่าเดิมบ้าง?
*ดูเหมือนอารมณ์ของผู้คนในตลาดหุ้นจะเกิดอาการเซ็งๆ กันอย่างถ้วนหน้า จึงไม่มีอารมณ์เคาะขวาเหมือนก่อนหน้านี้ ส่งผลให้มูลค่าการซื้อขายซบเซาอย่างรวดเร็ว พร้อมกับเกิดคำถามขึ้นมาในใจว่า “เข้าตัวไหน โดนทุกที” มันเป็นสถานการณ์ที่ทำให้ “โมนิก้า” ต้องกลับไปคิดทบทวนเรื่องราวที่เกิดขึ้นในรอบ 1 เดือนที่ผ่านมา มีตัวแปรไหนที่ทำให้เชื่อว่า ดีกว่าเดิมบ้าง?
*คิดไป…คิดมา ก็พบว่า ยังไม่มีอะไรในกอไผ่อีกตามเคย แถมแรงซื้อที่เข้ามายังกะปริดกะปรอย จนกลายเป็นการดันหุ้นเพื่อออกของราคาสูง และเมื่อเจาะลึกลงไปถึงท่าที “ซื้อๆ ขายๆ” ของนักลงทุนกลุ่มต่างๆ ที่สลับกันเป็นผู้กระทำ และผู้ถูกกระทำ “โมนิก้า” บอกได้ทันทีว่า ดัชนีคงเดินหน้าไปไหนได้ไม่ไกล เพราะตลาดหุ้นไทยหมดแรงจูงใจให้นักลงทุนเข้ามาไล่ซื้อหุ้นแบบถวายหัวนะซี
*ฉะนั้น การที่ดัชนีทะยานขึ้นไปถึงระดับ 1,505.48 จุด หลังจากนั้นอ่อนยวบเป็นขี้ผึ้งลนไฟ ก่อนจะลงเอยด้วยการปิดที่ 1,500.78 จุด บวกไปแค่ 0.38 จุด ด้วยมูลค่า 3.70 หมื่นล้านบาท “โมนิก้า” มองเป็นเรื่องที่พูดซ้ำไปซ้ำมากันหลายรอบ และยังเป็นเหตุการณ์เดิมๆ ที่เกิดขึ้นหลายรอบด้วยกัน เดี๊ยนถึงไม่เคยคิดห้ามปรามคนที่ขอเวลานอก เพื่อเดินออกไปอยู่นอกเวทีเป็นการชั่วคราวไงล่ะค่ะ
*เนื่องจากวันนี้เป็นเกมของการเข้าทำเร็ว ไม่มีเวลาต้องลังเลใจอีกต่อไป และข้อมูลดังกล่าวก็เห็นได้จากอาการของหุ้นหลายตัวที่ไล่ราคากันอย่างเมามันนั้น “โมนิก้า” มองเป็นการโฟกัสหุ้นรายตัวที่ละเอียดอ่อนขึ้นกว่าเดิม ซึ่งทำให้หุ้นวิ่งกันระเบิดระเบ้ออีกรอบ จึงไม่ใช่เรื่องแปลกหากพบว่า นักลงทุนบางส่วนไม่พร้อมจะเข้าไปผจญภัย เพราะยังแกะหุ้นรอบที่แล้วไม่ออกนะซี
*ผิดกับในรายของ TFG ยังคงเดินหน้าทำ new high อย่างต่อเนื่อง “โมนิก้า” มองเป็นเรื่องของผลงานเข้าตากรรมการจังเบ่อเร้อ บรรดาแฟนคลับขาลุยถึงกระโจนใส่ไม่ยัง บวกกับกิมมิคที่เล่าให้ฟังเมื่อวันก่อน ก็โดนใจอย่างแรงเสียด้วย วานนี้ถึงเห็นหุ้นวิ่งขึ้นมาปิดที่ 7.70 บาท บวกไป 0.70 บาท หรือขึ้นไป 10% ด้วยมูลค่า 930 ล้านบาท เดี๊ยนขอเตือนแค่ว่า อย่าไล่ราคาจนลืม take profit นะคะ
*เหมือนกับเหตุการณ์ของ AMARIN วันก่อนโดนถล่มเสียจนยับเยิน สุดท้ายก็มาไล่หุ้นกลับขึ้นมาปิดที่ 8.50 บาท บวกไป 1.15 บาท หรือขึ้นไป 15.70% ด้วยมูลค่า 860 ล้านบาท “โมนิก้า” มองเป็นเหตุการณ์เดิมๆ ที่เคยเกิดขึ้นกับหุ้นของ “เสี่ยเจริญ” โดยในช่วงแรกๆ อาจไม่ค่อยดีดตัวรับข่าวสักเท่าไหร่ แต่ผ่านไปสักระยะหนึ่งก็แรลลี่ยาว วันนี้ถึงต้องถามใจผู้เล่นว่า กล้าเล่นต่อไหม?
*เช่นเดียวกับในรายของ STPI กระชากขึ้นมาปิดที่ 10.80 บาท บวกไป 0.95 บาท หรือขึ้นไป 9.60% ด้วยมูลค่า 666 ล้านบาท แถมเป็นการวิ่งขึ้นมาปิดที่ราคาสูงสุดของวัน บวกกับเป็นครั้งที่ 2 ในการเทคตัวขึ้นมาทดสอบแนวต้าน 11.50 บาท “โมนิก้า” ถือเป็นทางเลือกของเหล่านักเล่นที่ต้องรู้จักประเมินความไวของตนเอง เพื่อปิดความเสี่ยงในการลงทุนไงล่ะค่ะ
*ตรงกันข้ามกับในรายของ MTLS กลายเป็นหุ้นสุดรักสุดโปรดของ “โมนิก้า” มาเป็นเวลานานนั้น มันมาจากตัวเลขกำไรที่ทำได้เสมอต้นเสมอปลาย ยิ่งเห็นตัวเลขกำไรเติบโตมากขึ้นเท่าไหร่ ยิ่งเป็นจังหวะของการ follow buy ในทันที เพราะมันเห็นกันเต็มสองลูกตาว่า ในจังหวะที่ภาวะเศรษฐกิจยังไม่ฟื้นตัว กำไรยังโตระเบิดระเบ้อ…หากเป็นจังหวะที่เศรษฐกิจดีขึ้นจริงๆ ราคาคงไปไกลกว่านี้แน่ๆ…เชื่อหัวน้องโมเถอะ!
*เหมือนกับในรายของ PDI ของมันเห็นเต็มประตูหน้าต่างว่า กำไรงวด 9 เดือนปี 59 เติบโตกว่ากำไรทั้งปี 58 บวกกับการขึ้นมาปิดที่ 18.80 บาท บวกไป 1.30 บาท หรือขึ้นไป 7.40% ด้วยมูลค่า 260 ล้านบาท ซึ่งเป็นการเทรดบนค่า P/E 20 เท่า และหากจินตนาการต่อไปว่า กำไรต่อหุ้นทั้งปี 59 จะอยู่ในระดับ 2 บาท พร้อมกับนำมาเทียบกับพีอีในระดับดังกล่าว ราคาเป้าหมายจะเป็นเท่าไหร่? ลองไปคิดกันดูนะคะ
*ส่วนในรายของ COM7 กลายเป็นหุ้นที่ทำ all time high เป็นว่าเล่นไปเสียแล้ว ซึ่งเป็นการตอกย้ำพัฒนาการของบริษัทไม่เคยหยุดนิ่ง บวกกับมีความคาดหวังในไตรมาส 4 จะออกมาเลิศหรูอลังการงานสร้าง เพราะเป็นอีกหนึ่งบริษัทที่จะได้รับผลดีจากรายการช้อปช่วยชาติ วานนี้ถึงเห็นหุ้นวิ่งขึ้นมาปิดที่ 14.60 บาท บวกไป 0.90 บาท หรือขึ้นไป 6.60% ด้วยมูลค่า 380 ล้านบาทไงล่ะค่ะ
*ส่วนหุ้นถุงยางอนามัยที่กำลังจะเข้าเทรดอย่าง TNR เดี๊ยนไม่ค่อยสนใจมูฟเม้นท์สักเท่าไหร่? เพราะของมันเห็นกันอยู่แล้วว่า งานนี้คนรับทรัพย์กลายเป็น ธ.กสิกรไทย หลังเป็นคนช่วยแต่งตัวเข้าตลาดหุ้น พร้อมกับล้วงเอาเงินชาวบ้านมาใช้หนี้ตัวเอง “โมนิก้า” ถึงอยากให้แมงเม่าไปอ่านหนังสือชี้ชวนกันเอาเองว่า ตรงนี้ใช่เรื่องจริงหรือเปล่า? เนื่องจากผู้บริหารเก็บตัวไม่ออกมาพบสื่อเพื่อให้ซักถามประเด็นที่สงสัยเลยนะซี
*ตบท้ายกันที่เรื่องราวของ IFEC เพื่อบอกเล่าเรื่องราวให้ชาวเผือกได้รับรู้ว่า โอกาสที่หุ้นจะผงกหัวขึ้นอย่างถาวรคงไม่ง่ายเหมือนกับช่วงที่กลุ่มทุนใหม่เข้ามาเทกโอเวอร์ พร้อมกับปรับเปลี่ยนธุรกิจเครื่องถ่ายเอกสารไปเป็นธุรกิจพลังงานไฟฟ้าทดแทน…เนื่องจากเที่ยวนี้มีคนติดหุ้นเยอะเหลือเกิน พอหุ้นเริ่มขยับตัวขึ้นได้ไม่ทันไร ก็โดนถล่มจนไม่เหลือซากเสียแล้ว ซึ่งเห็นได้จากอาการเด้งขึ้นไป 4.96 บาท สุดท้ายโดนเทขายตลอดทั้งวัน จนมาปิดที่ 4.64 บาท ลบไป 0.20 บาท หรือลงไป 4.10% ด้วยมูลค่า 513 ล้านบาทไงล่ะค่ะ