โดนทุบ (อีกแล้ว)โมนิก้าและทีมงาน
*หากมองรูปแบบการลงทุนในตลาดหุ้นไทยเป็นลักษณะการวิ่งผลัด นักเล่นคงมองเห็นภาพการแกว่งตัวขึ้นๆ ลงๆ ได้ชัดเจนขึ้น เพราะมันเป็นเกมที่วัดกันด้วยความไวของแต่ละทีมที่ส่งเข้ามาประชันฝีมือ จึงอย่าไปคิดอะไรมากมายให้รกสมองอีกเลย เพราะความได้เปรียบเสียเปรียบเปลี่ยนไปเปลี่ยนมาตลอดเวลา แถมเกมการลงทุนในตลาดหุ้นเปิดโอกาสให้แก้มือได้ตลอดเวลาแบบนี้...อย่าไปถอยนะคะ
*หากมองรูปแบบการลงทุนในตลาดหุ้นไทยเป็นลักษณะการวิ่งผลัด นักเล่นคงมองเห็นภาพการแกว่งตัวขึ้นๆ ลงๆ ได้ชัดเจนขึ้น เพราะมันเป็นเกมที่วัดกันด้วยความไวของแต่ละทีมที่ส่งเข้ามาประชันฝีมือ จึงอย่าไปคิดอะไรมากมายให้รกสมองอีกเลย เพราะความได้เปรียบเสียเปรียบเปลี่ยนไปเปลี่ยนมาตลอดเวลา แถมเกมการลงทุนในตลาดหุ้นเปิดโอกาสให้แก้มือได้ตลอดเวลาแบบนี้…อย่าไปถอยนะคะ
*เนื่องจากยุทธวิธี “ลากหุ้น ทุบหุ้น” ที่เกิดขึ้นในสัปดาห์ที่ผ่านมา สัปดาห์นี้ก็ต้องเจออีกเหมือนกัน และถัดไปอีกหนึ่งสัปดาห์ก็คงมีให้เห็นอีกอยู่ดี จึงจำเป็นต้องอยู่กับสถานการณ์ ณ ตรงนี้ให้ได้ เพื่อจะได้เข้าใจอารมณ์ของตลาดหุ้นได้แจ่มแจ้งขึ้นกว่าเดิม และตรรกะดังกล่าวก็ทำให้ “โมนิก้า” ไม่เคยยึดติดกับหุ้นตัวใดตัวหนึ่งมากเกินไป เพื่อทำให้การลงทุนมีความคล่องตัวไงล่ะค่ะ
*ฉะนั้น การที่ดัชนีรูดลงมาปิด 1,501.66 จุด ลบไป 10.72 จุด ด้วยมูลค่า 4.20 หมื่นล้านบาท โดยกองทุนตัวแสบสาดหุ้นทิ้ง 630 ล้านบาท บวกกับฝรั่งตาน้ำข้าวทิ้งลงมาอีก 470 ล้านบาท “โมนิก้า” มองเป็นการทุบหุ้นที่นักลงทุนก๊วนนี้มีความถนัดเป็นทุนเดิมอยู่แล้ว แต่เรื่องดังกล่าวไม่ได้ทำให้แมงเม่ารู้สึกหวาดกลัวแต่อย่างใด เพราะทุกคนหันมาใช้กลยุทธ์ “ลงซื้อ ขึ้นขาย” จนชินมือแล้วนะซี
*เหมือนกับในรายของลูกอ๊อด AOT ทะยานขึ้นเหนือระดับ 400 บาท และกำลังเตรียมตัวจะขึ้นไปทดสอบ 420 บาทได้ไม่ทันไร ก็มีแรงเทขายออกมาอีกแล้ว หุ้นก็เลยรูดลงมาปิดที่ 397 บาท ลบไป 5 บาท ด้วยมูลค่า 1.35 พันล้านบาท “โมนิก้า” ถึงต้องหันมามองที่เส้นแนวรับ 200 วันที่ระดับ 392 บาทในทันที เพราะคิดว่าแนวรับบริเวณดังกล่าวน่าจะรับมือไหวไงล่ะค่ะ
*เม้าท์ถึงเรื่องนี้ก็ต้องกันมาดู ESSO หลังหุ้นโดนถล่มอย่างหนักหน่วงตั้งแต่เช้าจรดเย็น จนหุ้นรูดลงมาปิดที่ 12.60 บาท ลบไป 0.70 บาท หรือลงไป 5.30% ด้วยมูลค่า 875 ล้านบาท ทั้งที่ก่อนหน้าทำท่าทะยานขึ้นไปสร้างแนวรับใหม่ที่สูงกว่าเดิม ทำให้เดี๊ยนมั่นใจมากขึ้นไปอีกขั้นหนึ่งว่า เกมราคาหุ้นใกล้จบเต็มทีแล้ว! ซึ่งทำให้หุ้นไม่มีทางเลือกอื่นนอกเสียจากต้องเด้งขึ้นแรงๆ เพื่อทำให้สมาชิกในขบวนรู้สึกใจชื้นนะซี
*เช่นเดียวกับในรายของถุงยาง TNR ในเมื่อตกอยู่ภายใต้เงื้อมือของกองทุนตัวแสบ การขึ้นลงของหุ้นในแต่ละรอบถึงไม่มีประเด็นต้องคิดมาก ซึ่งเป็นเรื่องที่เดี๊ยนได้ย้ำกับมิตรรักแฟนเพลงไปแล้วเมื่อวันก่อน จึงไม่แปลกใจที่หุ้นเซถลาลงมาปิดที่ 26.75 บาท ลบไป 1.25 บาท หรือลงไป 4.50% ด้วยมูลค่า 522 ล้านบาท เพราะคนที่รู้ทันเกมหุ้นแบบโหดๆ เขาไม่เข้ามาเล่นให้เปลืองตัวหรอกค่ะ
*อีกหนึ่งขาโหดที่นักเล่นรู้สึกได้ด้วยตนเองในเที่ยวนี้คือ EIC ซึ่งกลายเป็นหุ้นที่โดนสาดหุ้นอย่างหนักหน่วงตั้งแต่เช้าจรดเย็น พร้อมกับปรากฏข่าวลือเยอะแยะไปหมดว่า คนนั้นเป็นคนทำ…คนนี้เป็นคนทำ ซึ่งดูไปแล้วก็เหมือนกับการสาดขี้กันไปมาของคนในกลุ่มดังกล่าว และผลลัพธ์ที่ออกมาก็กลายเป็นว่า ฉาวโฉ่กันอย่างถ้วนหน้า ขณะที่ราคาหุ้นรูดลงมาปิดที่ 0.77 บาท ลบไป 0.33 บาท หรือลงไป 30% ด้วยมูลค่า 180 ล้านบาทแบบนี้ มีฟลอร์แรกไปแล้ว…อย่ามีฟลอร์ที่สองอีกนะ…หนูกลัวจนอวัยวะทุกส่วนสั่นไปหมดแล้วเจ้าค่ะ
*ประเด็นข้างต้นทำให้ “โมนิก้า” ต้องเหลือบมาดู IFEC เป็นรายถัดมาในทันที และเหตุผลในการเม้าท์ถึงก็มาจากสิ่งที่เกิดขึ้นคล้ายคลึงกับรายข้างต้นที่เพิ่งเม้าท์ไปหยกๆ และเข้าใจว่า เมื่อใดก็ตามที่คนในขบวนเริ่มมีปัญหาทะเลาะเบาะแวง ราคาหุ้นก็ย่อยยับถ้วนหน้าทุกราย ล่าสุดเห็นราคาหุ้นลงมานอนอยู่ที่ 4.48 บาท ลบไป 0.18 บาท หรือลงไป 3.90% ด้วยมูลค่า 190 ล้านบาท มีคนเขาตั้งคำถามผู้บริหารกลุ่มนิคมอุตสาหกรรมไฮเทคเข้ามาทำพรือ?…อิอิอิ
*ส่วนในรายของเจ๊วิคตอเรีย WIIK ถือเป็นอีกหนึ่งกิมมิคที่น่าสนใจไม่ใช่น้อย และเหตุผลที่น้องโมสนใจไม่ได้เป็นเรื่องของกลุ่มทุนใหม่ แต่สนใจตรงที่พัฒนาการเกี่ยวกับความสามารถในการทำกำไรค่อนข้างบรรเจิด “โมนิก้า” ถึงมองว่า การอ่อนตัวลงมาปิดที่ 5 บาท ลบไป 0.25 บาท หรือลงไป 4.80% ด้วยมูลค่า 360 ล้านบาท เป็นโอกาสสำหรับคนที่เชื่อว่า ธุรกิจขายท่อน้ำจะเติบโตควบคู่กับการบริหารจัดการน้ำนะคะ
*เช่นเดียวกับคนที่กระโจนเข้ามาเล่น SPPT ก็เป็นลักษณะเดียวกับที่เกริ่นนำให้ฟังข้างต้น แต่เผอิญรายนี้ฝากผีฝากไข้ไว้กับกลุ่มทุนการเมืองมากเกินไปหน่อย จึงอยากจะเตือนให้แฟนคลับระมัดระวังเป็นพิเศษ เพราะในตลาดหุ้นก็เคยมีหุ้นที่แอบอิงกับการเมืองหลายตัวด้วยกัน ซึ่งในช่วงแรกเริ่มจะเปิดตัวสวยหรูตามท้องเรื่อง แต่ผ่านไปสักระยะก็เหี่ยวเป็นมะเขือเผา จึงต้องไปดูกันเอาเองว่าราคาปิดที่ 4.64 บาท บวกไป 0.16 บาท หรือขึ้นไป 3.60% โอเว่อร์รีแอ็คไหม?
*เหมือนกับกรณีของ TSR ทันทีที่มีข่าวการดันธุรกิจลูกลุยลิสซิ่ง บรรดาพวกโลกสวยก็โผล่มาให้เห็นหยุบหยับกันไปหมด พร้อมกับเกิดปรากฏการณ์ไล่ราคาหุ้นแบบสุดลิ่ม จนหุ้นวิ่งขึ้นมาปิดที่ 5.55 บวกไป 1.13 บาท หรือขึ้นไป 25.60% ด้วยมูลค่า 250 ล้านบาท ซึ่งเป็นการเด้งขึ้นปรู๊ดปร๊าดในระหว่างที่หุ้นกำลังโค้งตัวลงมาเป็นเดือนแบบนี้…หวังว่า คงไม่ใช่สงครามวันเดียวนะจ๊ะ
*ถ้ายังไม่แจ่มแจ้ง “โมนิก้า” ขอให้แฟนคลับหันมามอง CPR หลังราคาหุ้นกระชากขึ้นไปถึงระดับ 8.10 บาท ก็ดูเหมือนว่า โลกทั้งใบจะมีแต่สีเขียวเพียงอย่างเดียว แต่ผ่านไปสักระยะหนึ่งกลับปรากฏว่า สิ่งที่เกิดขึ้นเป็นเพียงภาพลวงตา แรงเทขายทยอยออกมาเรื่อยๆ จนหุ้นอ่อนตัวลงมาปิดที่ 7.20 บาท ลบไป 0.05 บาท ด้วยมูลค่า 455 ล้านบาท มันเป็นเรื่องที่นักเล่นมือใหม่ต้องพึงสังวรไว้นะคะ