พาราสาวะถี อรชุน
คาดหมายกันไปต่างๆ นานาว่า พลเอกประยุทธ์ จันทร์โอชา จะขยับเก้าอี้รัฐมนตรีแบบปรับเล็กหรือปรับใหญ่ เดิมทีมั่นใจกันว่าน่าจะเขย่ากันคราวเดียวแบบบิ๊กล็อตเพื่อเปลี่ยนให้เกิดผลต่องานให้เป็นรูปธรรม รองรับการเลือกตั้งที่จะมีขึ้นในปีหน้า เตรียมการสำหรับการกลับมากุมบังเหียนประเทศอีกกระทอก (หากไม่เบื่อเสียก่อน) ของบิ๊กตู่
คาดหมายกันไปต่างๆ นานาว่า พลเอกประยุทธ์ จันทร์โอชา จะขยับเก้าอี้รัฐมนตรีแบบปรับเล็กหรือปรับใหญ่ เดิมทีมั่นใจกันว่าน่าจะเขย่ากันคราวเดียวแบบบิ๊กล็อตเพื่อเปลี่ยนให้เกิดผลต่องานให้เป็นรูปธรรม รองรับการเลือกตั้งที่จะมีขึ้นในปีหน้า เตรียมการสำหรับการกลับมากุมบังเหียนประเทศอีกกระทอก (หากไม่เบื่อเสียก่อน) ของบิ๊กตู่
แต่พอฟัง พลอากาศเอกประจิน จั่นตอง รองนายกรัฐมนตรีที่ปกติไม่ค่อยพูดให้เป็นข่าว และเมื่อพูดแต่ละครั้งข้อมูลที่ออกมามักจะตรงกับความเป็นจริง จึงเกิดอาการแกว่งในหมู่นักข่าว เพราะบิ๊กจินบอกว่าจะปรับแค่ 3 เก้าอี้อันได้แก่ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงศึกษาธิการ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงยุติธรรมและรัฐมนตรีกระทรวงใหม่หมาดอย่างดิจิทัลเพื่อเศรษฐกิจและสังคม
ล่าสุด บิ๊กตู่สัมภาษณ์เองแม้ปากจะบอกว่าไม่ต้องให้ความสนใจต่อการปรับเปลี่ยนครั้งนี้ เพราะตนเป็นผู้ตัดสินใจและสั่งการทั้งหมดด้วยตนเอง แต่มีบางวลีที่ต้องขีดเส้นใต้อันได้แก่ ต้องปรับครม.แน่นอนและคิดว่าจะต้องเกิดการเปลี่ยนแปลง หากออกมาสูตรนี้ก็หมายความว่าไม่ได้มีแค่ 3 ตำแหน่งที่ว่างเท่านั้น มันต้องเขย่ากันครั้งใหญ่ เพื่อให้สังคมสนใจและเกิดการยอมรับ
นับจากนี้ไปไม่รู้ว่าแค่ 1 ปีหรือนานกว่านั้น จะเป็นบทพิสูจน์ฝีมือของหัวหน้าคสช.โดยเฉพาะประเด็นทางด้านเศรษฐกิจ มีคำถามตามมาว่าจะถึงขั้นต้องเปลี่ยนตัวหัวหน้าทีมอย่าง สมคิด จาตุศรีพิทักษ์ หรือไม่ หลังจากที่ปล่อยให้โชว์ฝีมือมาด้วยระยะเวลาที่น่าจะนานกว่า หม่อมราชวงศ์ปรีดิยาธร เทวกุล เสียด้วยซ้ำ ทว่าผลสัมฤทธิ์แทบจะไม่ต่างกัน
ปัญหาก็คือ หากเป็นในระยะเริ่มแรกของการยึดอำนาจคงจะมีคนยกมืออาสาเข้ามาช่วยบิ๊กตู่ดูแลงานด้านเศรษฐกิจกันหน้าสลอน แต่พอผ่านโค้งแรกด้วยการเขี่ยหม่อมอุ๋ยพร้อมชาวคณะไปแล้วดึงสมคิดและพรรคพวกเข้ามา แต่โจทย์ด้านเศรษฐกิจหนักหน่วงขึ้นกว่าเดิมและกระบวนการแก้ปัญหาของเฮียกวงกับพวกที่ถูกวิจารณ์ว่าหลายอย่างไปลอกเอามาจากรัฐบาลยุคไทยรักไทย ก็ยังไม่เห็นอะไรเป็นชิ้นเป็นอัน
ด้วยสถานการณ์ที่เป็นอยู่ในเวลานี้ โจทย์สำหรับบิ๊กตู่ต่อทีมเศรษฐกิจของรัฐบาลจึงมีอยู่แค่เพียง ไว้วางใจให้สมคิดบริหารความเสี่ยงและต้องเดินหน้าเรื่องต่างๆ ให้เห็นผลเป็นรูปธรรมให้ได้ หรือไม่ก็หาใครมากุมบังเหียนแทน แต่มีคำถามว่าใครจะเป็นผู้อาสา ถ้ามีใครแสดงตัวเป็นหน่วยกล้าตาย กล้าเอาเกียรติยศศักดิ์ศรีของตัวเองมาเป็นเดิมพัน บุคคลนั้นสมควรได้รับการปรบมือให้ดังกระหึ่มไปทั้งประเทศ
อย่างไรก็ตาม ก่อนจะไปว่ากันถึงตรงนั้น เหมือนอย่างที่บิ๊กตู่ว่า ขออย่าให้ความสนใจเรื่องนี้มากนัก คอยดูแล้วกันเมื่อปรับครม.แล้วจะมีอะไรเปลี่ยนแปลงขึ้นมาบ้าง วันนี้ต้องติดตามกันต่อว่า ปฏิบัติการบุกค้นวัดพระธรรมกายและบุกจับธัมมชโย จะเริ่มขึ้นเมื่อใดแล้วทุกอย่างจะเป็นไปตามราคาคุยของฝ่ายเจ้าหน้าที่ที่ว่า เรียบร้อยและเป็นไปตามกฎหมายหรือไม่
ดูท่าน่าจะไม่เป็นไปตามนั้น เพราะล่าสุด พลตำรวจเอกศรีวราห์ รังสิพราหมณกุล รองผู้บัญชาการตำรวจแห่งชาติที่ถูกมอบหมายให้ดูแลเรื่องนี้ ถูกคำสั่งให้ปิดปากงดให้สัมภาษณ์ทุกกรณี ไม่รู้ว่าเปิดเพราะมีคลิปหลุดจากวงประชุมวางแผนที่เจ้าตัวออกแอ็คชั่นดุเดือดหรือเนื่องจากการให้สัมภาษณ์ด้วยท่าทีที่ขึงขังมันกลายเป็นล้ำหน้ามากกว่าต้นเรื่องอย่างดีเอสไอไปหรือเปล่า
คำสั่งดังกล่าวแม้ว่าจะมาจาก พลตำรวจเอกจักรทิพย์ ชัยจินดา ผู้บัญชาการตำรวจแห่งชาติ ทว่าอาจมาจากสัญญาณการให้สัมภาษณ์ของบิ๊กตู่ที่ทำเนียบรัฐบาลแล้วก็พอจะรู้ที่มา ส่วนที่ว่าคลิปหลุดจากวงประชุมนั้น ดุเดือดถึงขั้นที่ว่า ไม่อายทหารกันบ้างหรือ หากยังจับกุมธัมมชโยไม่ได้ เป็นการตบหน้าคนในวงการสีกากีด้วยกันเองฉาดใหญ่
ในฐานะที่เลือดสีกากีเข้มข้น บิ๊กแป๊ะซึ่งเป็นหัวเรือใหญ่ของวงการตำรวจ คงเห็นว่าสิ่งที่ศรีวราห์ไปพูดเช่นนั้น จะเป็นการทำลายขวัญและกำลังใจของเจ้าหน้าที่ผู้ปฏิบัติงานจึงต้องตัดไฟเสียแต่ต้นลม ส่วนจะเป็นแค่แผนลวงคือสงบสยบความเคลื่อนไหวหรือไม่ อันนี้คงต้องเดาใจ มาถึงนาทีนี้ไม่ใช่เฉพาะฝ่ายเจ้าหน้าที่ทำนั้นที่เล่นเกมสับขาหลอก แม้แต่ฝ่ายคู่กรณีก็ประมาทไม่ได้เช่นเดียวกัน
ความจริงแล้วกรณีนี้ หากไม่ถูกลากโยงไปเป็นประเด็นทางการเมืองเพื่อหวังผลอย่างหนึ่งอย่างใด ใช้กระบวนการยุติธรรมล้วนๆ ไม่อาศัยความรู้สึกร่วมด้วย น่าจะมีหนทางที่เกิดข้อยุติร่วมกันไปตั้งนานแล้ว ไม่ต้องให้ใครมาดูถูกฝ่ายเจ้าหน้าที่รัฐว่าไร้น้ำยา และไม่ต้องมีใครไปกล่าวหาว่าวัดและพระแห่งนี้มีอภิสิทธิ์เหนือกฎหมาย
เมื่อเลือกที่จะเดินกันด้วยแนวทางแบบนี้แล้ว ก็ได้แต่เอาใจช่วยให้สถานการณ์จบลงด้วยดี ส่วนกรณีปมระหว่างรัฐกับพุทธศาสนาที่ถูกแยกเฉพาะประเด็นธรรมกายนั้น วันพรุ่งนี้จะนำเสนอมุมวิเคราะห์ของนักวิชาการด้านศาสนาที่มองเรื่องที่เกิดขึ้นอย่างน่าสนใจ เผื่อจะได้ช่วยกระตุกให้บรรดาคนที่สุดโต่งทั้งหลายได้หันมามองโลกแห่งความเป็นจริงกันบ้าง
ได้ยิน มีชัย ฤชุพันธุ์ ให้สัมภาษณ์ล่าสุด หากไม่เข้าร่วมเวทีเปิดรับฟังความเห็นต่อร่างพระราชบัญญัติประกอบรัฐธรรมนูญว่าด้วยพรรคการเมืองที่กรธ.จัดขึ้นวันนี้ หมายความว่าสองพรรคการเมืองใหญ่ทั้งเพื่อไทยและประชาธิปัตย์เห็นดีเห็นงามกับสิ่งที่กรธ.ดำเนินการไป น่าเสียดายที่ได้ชื่อว่าเป็นเนติบริกรชั้นครูแต่ใช้ตรรกะวิบัติได้ถึงเพียงนี้
นี่เป็นภาพสะท้อนอย่างชัดเจนประการหนึ่งว่า ร่างรัฐธรรมนูญที่ผ่านการทำประชามติไปนั้น แม้จะอ้างการเห็นชอบของประชาชน แต่ความเป็นจริงในระหว่างการยกร่างสิ่งที่ได้รับฟังเสียงสะท้อน ซึ่งส่วนใหญ่เป็นเวทีจัดตั้ง ไม่ได้เกิดมรรคผลใดๆ ที่จะทำให้กรธ.เปลี่ยนแปลงหรือแก้ไขในสิ่งที่ตัวเองได้ตั้งธงไว้แล้ว ดังนั้น ทุกเวทีจึงเป็นแค่พิธีกรรม
ย้ำอีกครั้งแค่พิธีกรรม เนื่องจากทุกกระบวนท่า วิษณุ เครืองาม พูดชัดตั้งนานแล้ว ลงเรือแป๊ะต้องตามใจแป๊ะ ที่บอกว่าไม่ได้ทำลายพรรคการเมืองขนาดเล็กนั้น ไม่รู้ว่าเฉพาะบางพรรคที่จะถูกตั้งขึ้นมาเป็นนอมินีสำหรับผู้ที่จะสืบทอดอำนาจหรือเปล่า ดีจริงจนต้องยกนิ้วให้จริงหรือ รอฟังเสียงสะท้อนจากพรรคการเมืองขนาดเล็กและกลางที่จะเข้าร่วมในวันนี้ นั่นแหละจะเป็นคำตอบว่า สิ่งที่ทำตาม (ใจ) แป๊ะ ทำลายหรือสร้างสรรค์ให้การเมืองดีขึ้นกันแน่