พาราสาวะถี อรชุน

ไม่ว่ากรณีบุกวัดพระธรรมกายจะจบลงอย่างไร สิ่งที่เกิดขึ้นถือได้ว่าน่าศึกษาเป็นอย่างยิ่ง หากจะให้ใช้ความเห็นของตัวเองวิเคราะห์น่าจะเป็นการวิจารณ์เสียมากกว่า จึงดูจะไม่ยุติธรรมต่อทั้งฝ่ายที่สนับสนุนและกลุ่มที่ไม่เห็นด้วยกับวิถีและวิธีการสอนพระพุทธศาสนาของวัดแห่งนี้ ดังนั้น จึงต้องนำเสนอแง่มุมทางด้านวิชาการ ซึ่งก็เป็นส่วนหนึ่งที่ช่วยทำให้เราได้สังเคราะห์ข้อมูลว่ามีอะไรใกล้เคียงหรือเป็นจริงกับสิ่งที่เกิดขึ้นนั้นหรือไม่


ไม่ว่ากรณีบุกวัดพระธรรมกายจะจบลงอย่างไร สิ่งที่เกิดขึ้นถือได้ว่าน่าศึกษาเป็นอย่างยิ่ง หากจะให้ใช้ความเห็นของตัวเองวิเคราะห์น่าจะเป็นการวิจารณ์เสียมากกว่า จึงดูจะไม่ยุติธรรมต่อทั้งฝ่ายที่สนับสนุนและกลุ่มที่ไม่เห็นด้วยกับวิถีและวิธีการสอนพระพุทธศาสนาของวัดแห่งนี้ ดังนั้น จึงต้องนำเสนอแง่มุมทางด้านวิชาการ ซึ่งก็เป็นส่วนหนึ่งที่ช่วยทำให้เราได้สังเคราะห์ข้อมูลว่ามีอะไรใกล้เคียงหรือเป็นจริงกับสิ่งที่เกิดขึ้นนั้นหรือไม่

บทความของ สุรพศ ทวีศักดิ์ นักวิชาการด้านศาสนาและปรัชญา มหาวิทยาลัยราชภัฏสวนดุสิตเรื่องรัฐ ศาสนจักรและธรรมกาย จึงเป็นความเห็นด้านวิชาการที่น่าสนใจเป็นอย่างยิ่ง ทุกสังคมต่างมีวิธีจัดการกับ “อดีตที่ไม่ยอมจากไป” ต่างกันไป ศาสนาคือหนึ่งในอดีตที่ไม่ยอมจากไป พูดแบบนี้ไม่ได้หมายความว่าศาสนาไม่มีคุณค่าและต้องการให้ศาสนาหมดไปจากสังคม

แต่คุณค่าของศาสนาต่อชีวิตและสังคมสมัยใหม่ก็ไม่ใช่คุณค่าแบบเดียวกับที่ศาสนาเคยมีต่อชีวิตและสังคมในอดีต บทบาทของศาสนาต่อชีวิตและสังคมสมัยใหม่จึงต่างจากบทบาทของศาสนาในอดีต ฉะนั้น การเป็นอดีตที่ไม่ยอมจากไปของศาสนา จึงไม่ใช่เพราะยังมีศาสนา แต่เพราะยังมีแนวคิดและโครงสร้างความสัมพันธ์ระหว่างรัฐกับศาสนจักรที่เป็นกรอบกำหนดให้รัฐสมัยใหม่ทำหน้าที่ทางศาสนาแบบรัฐก่อนสมัยใหม่

รวมทั้งกำหนดให้บทบาทของศาสนาต่อชีวิตและสังคมปัจจุบันเป็นบทบาทแบบเดียวกับยุคก่อนสมัยใหม่ ในการเปลี่ยนแปลงสู่ความเป็นสมัยใหม่  สิ่งที่บ่งบอกถึงความเป็นสมัยใหม่ที่สำคัญมากอย่างหนึ่งคือ การจัดวางอดีตให้อยู่ในตำแหน่งแห่งที่และมีบทบาทที่เหมาะสม เช่น ศาสนจักรและความเชื่อทางศาสนาที่เคยมีอำนาจและอิทธิพลทางความคิดความเชื่อ ทั้งในแง่เป็นอำนาจที่ชอบธรรมและอำนาจครอบงำมายาวนาน ก็ถูกแยกออกจากการมีสถานะอำนาจภายในโครงสร้างการปกครองของรัฐ

ศาสนจักรกลายเป็นเอกชน ไม่ใช่องค์กรของรัฐอีกต่อไป เมื่อแยกศาสนากับรัฐให้เป็นอิสระจากกัน ก็ถือว่าเรื่องศาสนาเป็นเรื่องส่วนตัว หรือศาสนาเป็นพื้นที่ส่วนตัวของปัจเจกบุคคล บทบาทของศาสนาจึงเกี่ยวข้องกับ “ความดีเฉพาะ” หรือความดีส่วนตัวที่เกี่ยวกับเรื่องยกระดับคุณค่าทางจิตวิญญาณของปัจเจกบุคคล หรือความเชื่อเชิงประเพณีวัฒนธรรมของสังคมหนึ่ง

ส่วนบทบาทของรัฐเกี่ยวข้องกับ “ความดีสาธารณะ” หรือผลประโยชน์สาธารณะของทุกคน และของสังคมพหุวัฒนธรรมที่มีหลากหลายความเชื่อ ฉะนั้นรัฐสมัยใหม่จึงไม่ได้มีหน้าที่ทางศาสนาแบบรัฐยุคเก่าอีกต่อไป รัฐสมัยใหม่มีหน้าที่เพียงรักษาเสรีภาพและความเสมอภาคทางศาสนาเท่านั้น แทนที่เราจะแยกศาสนาจากรัฐ เรากลับสร้างศาสนจักรของรัฐขึ้นมา การเข้าสู่ความเป็นสมัยใหม่ของไทยในเรื่องความสัมพันธ์ระหว่างรัฐกับศาสนาจึงเป็นการเดินสวนทางกับความเป็นสมัยใหม่

ขณะที่ยุโรปเขาทำให้ศาสนจักรอยู่ภายใต้หลักการของสภาวะสมัยใหม่ คือหลักการแยกศาสนาจากรัฐและหลักเสรีภาพและความเสมอภาคทางศาสนา แต่สยามยุคอาณานิคมกลับสถาปนาศาสนจักรของรัฐขึ้นมา ทำให้เราไม่สามารถจะมีเสรีภาพทางศาสนาในกรอบคิดเสรีนิยมได้จวบจนปัจจุบัน (เช่นเดียวกับที่สังคมเราไม่สามารถจะมีเสรีภาพทางการเมืองในกรอบเสรีประชาธิปไตยได้นั่นเอง)

การสถาปนาศาสนจักรของรัฐ ส่วนหนึ่งก็เพื่อที่จะใช้ศาสนจักรเป็นกลไกสนับสนุนความชอบธรรมในอำนาจปกครองและอุดมการณ์รัฐ ส่วนหนึ่งก็เพื่อที่จะใช้ศาสนจักรนั้นควบคุมการสอนถูก สอนผิด ปฏิบัติถูก ปฏิบัติผิดของพระสงฆ์ทั่วราชอาณาจักร เราจึงได้เห็นมาตลอดว่า หากมีกลุ่มพระสงฆ์ ชาวพุทธกระด้างกระเดื่องต่อมหาเถรสมาคมและอำนาจรัฐก็จะถูกจัดการอย่างเฉียบขาด

แต่ถ้ากระด้างกระเดื่องต่อมหาเถรสมาคมบนจุดยืนที่ปกป้องสถาบันชาติ ศาสนา พระมหากษัตริย์อย่างพุทธะอิสระหรือย้อนไปถึงกิตติวุฑโฒภิกขุ และกลุ่มอื่นๆ ก็ไม่ถูกจัดการใดๆ ปรากฏการณ์ธรรมกายบอกอะไรหลายอย่าง หนึ่งคือธรรมกายถูกมองด้วยสายตาของความกลัวว่าเป็นลัทธิที่สร้างคำสอนและพิธีกรรมผิดเพี้ยนจากพระไตรปิฎก ซึ่งเป็นความกลัวแบบรัฐยุคเก่าและยุคปรับตัวเข้าสู่สมัยใหม่ที่แยกนิกายและสร้างศาสนจักรขึ้นมาเพื่อจัดการกับความกลัวดังกล่าว

ในยุคปัจจุบันมหาเถรสมาคมจึงถูกตั้งคำถามตลอดมาว่า ทำไมไม่จัดการขั้นเด็ดขาดกับธรรมกาย ซึ่งคำถามดังกล่าวกำลังจะบอกว่าศาสนจักรไม่มีประสิทธิภาพในการจัดการกับความกลัว แต่การมองธรรมกายเป็นสัญญะของความกลัวในเรื่องสอนผิด ปฏิบัติผิดพระไตรปิฎก ก็ไม่อาจทำอะไรธรรมกายได้ เพราะในความเป็นจริงไม่สามารถบอกได้ว่าวัดไหน สำนักไหนที่สอนถูก ปฏิบัติถูกพระไตรปิฎกอย่างแท้จริง

ในระยะหลังธรรมกายจึงถูกฝ่ายตรงข้ามกล่าวหาในเรื่องเป็นภัยความมั่นคง พร้อมกับการดำเนินการเอาผิดในเรื่องทุจริต จนนำมาสู่การวางแผนจะนำกองกำลังมหาศาลเข้าจับกุมธัมมชโยในขณะนี้ ทั้งที่เมื่อว่าตามจริงข้อกล่าวหาเรื่องทุจริต ก็ไม่เกี่ยวกับเรื่องสอนผิด สอนถูก ไม่เกี่ยวกับการเมืองสงฆ์ การเมืองทางโลก เป็นเพียงข้อกล่าวหาเรื่องทำผิดกฎหมายธรรมดา

ที่เมื่อใครถูกกล่าวหา ถูกแจ้งความก็ต้องเข้าสู่กระบวนการยุติธรรมตามปกติ แต่กรณีของธัมมชโยกลับไม่ปกติ หรือไม่สามารถจะดำเนินการอย่างปกติได้ เพราะเป็นเรื่องที่ถูกนำไปเกี่ยวโยงความเป็นการเมืองอย่างซับซ้อน แต่หากจะพูดอย่างถึงที่สุด เราไม่อาจพิจารณาปัญหาธรรมกายอย่างเป็นอิสระจากความเป็นการเมืองได้จริง เพราะการเติบโตของธรรมกายเองก็มีความเป็นการเมืองในตัวเองอย่างซับซ้อน

การขยายสาขา ขยายสำนักปฏิบัติธรรมในพื้นที่ซึ่งต้องซื้อที่ดินราคาแพงๆ การขยายบทบาทของธรรมกายที่ก้าวขึ้นมามีบทบาททางศาสนาระดับชาติในการจัดโครงการขนาดใหญ่ ย่อมเป็นไปไม่ได้เลยถ้าไม่ได้รับการสนับสนุนจากอำนาจศาสนจักรและอำนาจรัฐบาล แต่เมื่อขั้วอำนาจรัฐบาลเปลี่ยนไป สถานะและบทบาทของธรรมกายก็เปลี่ยนดังที่เห็น

จากสภาวะความซับซ้อนของปัญหาธรรมกายที่มีความเป็นการเมืองเชื่อมโยงกับอำนาจรัฐ ศาสนจักร และอคติหรือความกลัวในเรื่องการตีความคำสอนที่มีมาตลอด จึงไม่ใช่เรื่องง่ายที่จะทำให้ธัมมชโยตัดสินใจมอบตัวสู้คดี เพราะกระบวนการยุติธรรมภายใต้สถานการณ์ทางการเมืองที่เป็นอยู่ เราเห็นอยู่แล้วว่าฝ่ายหนึ่งผิด อีกฝ่ายหนึ่งไม่ผิดตลอดมา

ขณะเดียวกันก็ไม่ใช่เรื่องง่ายที่เจ้าหน้าที่รัฐจะเข้าจับกุมตัวธัมมชโย เพราะธรรมกายมีมวลชน และเป็นมวลชนผู้ปฏิบัติธรรมที่อาจแปรสภาพเป็นมวลชนที่มีความเป็นการเมืองได้ตลอดเวลา นี่คือภาพสะท้อนของสภาวะที่รัฐกับศาสนาไม่ได้แยกเป็นอิสระจากกัน สภาวะเช่นนี้จึงเป็นรากฐานของปัญหายุ่งเหยิงระหว่างการเมืองสงฆ์-การเมืองทางโลกอย่างสลับซับซ้อนตลอดมา อยู่ที่ว่าใครจะถูกเลือกเป็นเหยื่อให้เชือดเท่านั้น

Back to top button