‘บจ.’ ไทยยังแกร่งลูบคมตลาดทุน
หากไม่มีอะไรผิดพลาด
ธนะชัย ณ นคร
หากไม่มีอะไรผิดพลาด
การประชุมของคณะกรรมการกำหนดนโยบายการเงิน หรือ FOMC ธนาคารกลางสหรัฐ (เฟด) น่าจะปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ยนโยบายอีก 0.25%
จากก่อนหน้านี้อยู่ที่ 0.25 – 0.50%
มาอยู่ที่ 0.50-0.75%
การขึ้นดอกเบี้ยในครั้งนี้ บรรดานักวิเคราะห์ในตลาดหุ้นไทยมองว่า ไม่น่าจะส่งผลลบต่อหุ้นไทยมากนัก
เพราะผลตอบแทนจากการลงทุนในตลาดลงทุนไทยยังสูงกว่า
แต่ก็ประเด็นที่ต้องติดตาม
นั่นคือ เฟดจะส่งสัญญาณการขึ้นดอกเบี้ยในปีหน้าไว้อย่างไร
จะปรับขึ้นกี่ครั้งล่ะ
2 ครั้ง หรือ 4 ครั้ง นี่คือสิ่งที่นักลงทุนสนใจมากกว่า
หาก 2 ครั้ง ก็ยังพอทำใจได้ แต่หาก 4 ครั้งนี่สิ ไม่แน่ใจว่าฟันด์โฟลว์จะไหลออกไปอีกหรือไม่ จากปัจจุบันที่ในปี 2559 นักลงทุนต่างชาติยังซื้อสุทธิในตลาดหุ้นไทยอยู่ 7.90 หมื่นล้านบาท
ส่วนนักลงทุนสถาบันขายสุทธิ 1.90 หมื่นล้านบาท
หากฟันด์โฟลว์ขาย และมีสถาบัน (หรือกองทุน) มารับ ก็ไม่น่าจะมีอะไรที่ต้องวิตก
ปัจจุบันนักลงทุนกลุ่มต่างๆ ที่ซื้อขายในตลาดหุ้นไทยมีสัดส่วนของนักลงทุนรายย่อยกว่า 55-60% ที่เหลือเป็นนักลงทุนสถาบัน(รวมบัญชีบริษัทหลักทรัพย์)
วันก่อนผมมีโอกาสคุยกับคุณเกศรา มัญชุศรี กรรมการ และผู้จัดการตลาดหลักทรัพย์(ตลท.)
คุณเกศรา บอกว่า จริงๆ อยากให้นักลงทุนสถาบันมีสัดส่วนการซื้อขายเพิ่มขึ้นมาเป็น 50%
แต่นั่นไม่ใช่หมายความว่า ต้องการลดสัดส่วนนักลงทุนรายย่อยลงไป เพียงแต่ว่าตลาดหลักทรัพย์ฯ อยากให้สถาบันเข้ามามีสัดส่วนมากขึ้น
ผมเข้าใจว่า นัยสำคัญ อาจจะเพื่อจะให้นักลงทุนสถาบันนั้น อย่างน้อยก็เป็น“เสาค้ำยัน”ที่ดีกับตลาดหุ้น
กลับมาในประเด็นที่เฟดปรับขึ้นดอกเบี้ย
ในมุมมองของนักวิเคราะห์มีการมองว่า มีหุ้นหลายกลุ่ม หลายตัว ที่ได้รับประโยชน์
เช่น หุ้นในกลุ่มธนาคารพาณิชย์ และกลุ่มธุรกิจประกัน
ด้วยเหตุผลว่า ดอกเบี้ยจะกลับมาอยู่ในช่วงขาขึ้น ซึ่งจะทำให้ส่วนต่างอัตราดอกเบี้ยระหว่างเงินกู้และเงินฝากของแบงก์ต่างๆ นั้น มีความกว้างมากขึ้น
แบงก์ที่ได้รับประโยชน์ ก็จะเป็นแบงก์ขนาดใหญ่ ขนาดกลาง และเล็ก
เช่น SCB , BBL และ KBANK
ส่วนแบงก์ที่มีสัดส่วนพอร์ตสินเชื่อเช่าซื้อรถยนต์ค่อนข้างมาก ก็ได้รับประโยชน์เช่นเดียวกัน เช่น TISCO
ส่วนกลุ่มประกัน ก็จะได้ประโยชน์จากผลตอบแทนพันธบัตรสูงขึ้น
โดยเฉพาะหุ้นประกันชีวิต เพราะ ส่วนใหญ่ของพอร์ตลงทุน จะลงทุนในตราสารหนี้เป็นหลัก ซึ่งที่ผ่านมา ผลตอบแทนลดลงระดับต่ำ ทำให้ต้องมีการกันสำรองกันค่อนข้างมาก
หุ้นในกลุ่มนี้ ก็เช่น BLA หรือ กรุงเทพประกันชีวิต และไทยรีประกันชีวิต(THREL)
หุ้นแบงก์ ก็น่าจะกลับมาคึกคักได้อีกครั้ง หลังจากซบเซาเป็นช่วงๆ จากปัญหาเอ็นพีแอล
ทว่า มีผู้บริหารในวงการโบรกฯ ต่างมองในด้านบวกครับ
และไม่อยากให้นักลงทุนไปตื่นตกใจกับการขึ้นอัตราดอกเบี้ยของเฟดมากนัก เพราะผลตอบแทนของบริษัทจดทะเบียนในตลาดหุ้นไทยยังอยู่ในระดับที่ดี
ในประเด็นนี้เอง ตลาดหลักทรัพย์ฯ ก็บอกว่า ผลตอบแทนหุ้นไทยยังอยู่ระดับสูงสุดในอาเซียน
ฐานะการเงินต่างๆ ค่าเฉลี่ยก็อยู่ในเกณฑ์ที่ดี
บจ.หลายๆ แห่งมีเงินสดในมือเยอะ
หนี้สินต่อทุน หรือ D/E มีค่าเฉลี่ยค่อนข้างต่ำ หรือประมาณ 1.4 เท่า เท่านั้น
บจ.ของไทย ที่มีขนาดกลางและเล็ก ต่างสร้างผลประกอบการได้ดีมากในปีนี้
และมีแนวโน้มที่ดีอยู่