ปีศาจเบสท์รินขี่พายุ ทะลุฟ้า
หากไม่มีการล้มประมูลรถเมล์เอ็นจีวี ขสมก. จำนวน 489 คันในรอบแรกไป ป่านนี้คนกรุงเทพฯผู้มีรายได้น้อย-ปานกลาง ก็จะได้ใช้รถเมล์ใหม่มาร่วม 2 ปีแล้ว
ชาญชัย สงวนวงศ์
หากไม่มีการล้มประมูลรถเมล์เอ็นจีวี ขสมก. จำนวน 489 คันในรอบแรกไป ป่านนี้คนกรุงเทพฯผู้มีรายได้น้อย-ปานกลาง ก็จะได้ใช้รถเมล์ใหม่มาร่วม 2 ปีแล้ว
รถเมล์ ขสมก. รุ่นใหม่ที่สุด ก็เป็นรถสีส้ม ยี่ห้อฮีโน่ นำออกวิ่งตอนไทยเป็นเจ้าภาพเอเชี่ยนเกมส์ ตั้งแต่ปี 2541 นั่นแหละ
ผู้ชนะประมูลหนที่แล้ว ก็คือบริษัท ช.ทวี ดอลลาเซียน เป็นบริษัทโปรไฟล์ดี จดทะเบียนในตลาดหลักทรัพย์ mai ไม่เคยมีเรื่องเสียหายด่างพร้อย
เป็นบริษัทที่ประกอบกิจการทางด้านโลจิสติกส์แบบครบวงจร ทั้งต่อรถต่อเรือ ศูนย์ซ่อมรถบรรทุกขนาดใหญ่
กลุ่มผลิตภัณฑ์และออกแบบพิเศษ อาทิ การต่อเรือรบ รถสายพานลำเลียง รถลำเลียงอาหารเครื่องบินอย่างเช่นแอร์บัส 380 นี่ก็ยังใช้ รถบันไดขึ้นเครื่องบิน รถบันไดกู้ภัย และรถดัดแปลงที่ใช้ในสนามบินทั้งปวง เป็นต้น
เรียกว่าเป็นบริษัทที่มีนวัตกรรมระดับโลกได้อย่างเต็มปากเต็มคำ มิใช่เป็นเพียงแค่บริษัทนำเข้ารถยนต์เท่านั้น
บริษัท ช.ทวีฯ ชนะประมูลครั้งนั้นไปในราคา 3,700 ล้านบาทเศษ แยกเป็นราคารถ 1,500 ล้านบาทเศษ และสัญญาซ่อมบำรุง 10 ปีเป็นจำนวนเงิน 2.2 พันล้านบาท
แต่แล้วบริษัท เบสท์ริน กรุ๊ป ซึ่งเป็นคู่แข่งและพ่ายประมูลไป ก็ทำการร้องเรียน แถมยังนำเรื่องไปฟ้องร้องศาลปกครอง
แม้ศาลปกครองกลางจะยกคำร้อง แต่ กว.พอ.ของกรมบัญชีกลาง ก็ยังคงยืนกรานว่าทีโออาร์ไม่ชัดเจน ในที่สุด ขสมก.ก็ประกาศยกเลิกประมูล และทำการเปิดประมูลใหม่
คู่แข่งขันยังเป็นรายเดิม คือ เบสท์ริน VS. ช.ทวีฯ และเบสท์รินก็เป็นผู้ชนะไปในราคาต่ำสุดที่ 3,389.71 ล้านบาท ต่ำกว่าราคากลางถึง 632 ล้านบาท (ราคากลาง 4,021 ล้านบาทเศษ)
ก็ดูเหมือนจะดีนะครับ! หากจะไม่เกิดเรื่องเรือบรรทุกรถเอ็นจีวียี่ห้อ “ซันลอง” จากประเทศจีน วิ่งเลยป้าย ซึ่งแทนที่จะวิ่งตรงเข้ามาที่ท่าเรือเมืองไทยเลย กลับวิ่งกินลมไปมาเลเซีย แล้วย้อนกลับมาเมืองไทยอีกที
ต้องขอชมเชยท่านอธิบดีกรมศุลกากร นายกุลิศ สมบัติศิริ ที่เค้นความจริงออกมาจนได้ว่า เรือจากจีนมาแวะพักที่มาเลเซียอยู่ 7 วัน จากนั้นจึงเข้าไทยทันที
ไม่มีข้อต้องให้พิจารณาว่าจะเป็นรถประกอบในมาเลเซียเสียด้วย เพราะหมายเลขตู้คอนเทนเนอร์เอย หมายเลขแชสซีส์ และเครื่องยนต์ ตลอดจนน้ำหนัก และราคา ตรงกันเป๊ะกับที่ออกมาจากจีน
แสดงว่าเบสท์ริน เจตนาสำแดงแหล่งกำเนิดสินค้าเท็จ แทนจะสำแดงแหล่งกำเนิดจีนที่ต้องเสียภาษีนำเข้า 40% กลับสำแดงแหล่งกำเนิดมาเลเซีย ใช้สิทธิอาฟตา 0% แทน
เบสท์รินต้องจ่ายเพิ่มภาษีรถนำเข้าจำนวน 489 คัน เป็นมูลค่าทั้งสิ้น 718 ล้านบาท บวกกับค่าปรับสำหรับรถ 100 คันที่นำเข้าอีกประมาณ 230 ล้านบาท รวมต้องจ่ายเพิ่มอีก 948 ล้านบาท
มันจะคุ้มค่ากับการที่เบสท์รินไปฟันงานต่ำกว่าราคากลางมาถึง 632 ล้านบาทไหมเนี่ย
ใครรับประกันได้ว่า เบสท์รินจะไม่ทิ้งสัญญา และถ้าจะต้องมีการเปิดประมูลใหม่ ใครจะรับผิดชอบกับเวลาที่สูญเสียไปไม่น้อยกว่า 2 ปี
เบสท์ริน ไม่ควรจะมีคุณสมบัติเข้าประมูลด้วยซ้ำ เพราะยังมีคดีสำแดงเท็จนำเข้ารถยนต์ยี่ห้อ “โกลเดน ดรากอน” ต่อกรมศุลกากรและสรรพากร มูลค่าความเสียหายประมาณ 230 ล้านบาทอยู่
แต่ก็ได้เข้ามาประมูลจนได้ และก็ได้ก่อปัญหาอย่างที่เห็นอยู่
ฉะนั้นอย่าได้หลงเชื่อคำลวงว่า “ไม่มีเรื่องโกงในรัฐบาลชุดนี้ มีแต่ในรัฐบาลที่แล้วมาเท่านั้น”