JMT สดใสต่อเนื่อง

มีการวิเคราะห์กันว่า แนวโน้มผลประกอบการในไตรมาส 4 ปี 59 ของ JMT ยังสดใส นอกจากมีโอกาสที่จะเห็นการตีมูลค่าเงินลงทุนใน J Fintech ที่ปัจจุบันบริษัทถือหุ้นอยู่ 9.84% (12 ล้านหุ้น) โดยส่วนต่างของราคาเพิ่มทุนกับ BV ต่อหุ้นของ J Fintech อยู่ที่เกือบ 10 บาท ซึ่งจะคิดเป็นกำไรจากการตีมูลค่าเงินลงทุนราว 1 ร้อยล้านบาท


–คุณค่าบริษัท–

 

มีการวิเคราะห์กันว่า แนวโน้มผลประกอบการในไตรมาส 4 ปี 59  ของบริษัท เจ เอ็ม ที เน็ทเวอร์ค เซอร์วิสเซ็ส จำกัด (มหาชน)  หรือ JMT ยังสดใส นอกจากมีโอกาสที่จะเห็นการตีมูลค่าเงินลงทุนใน J Fintech ที่ปัจจุบันบริษัทถือหุ้นอยู่ 9.84% (12 ล้านหุ้น) โดยส่วนต่างของราคาเพิ่มทุนกับ BV ต่อหุ้นของ J Fintech อยู่ที่เกือบ 10 บาท ซึ่งจะคิดเป็นกำไรจากการตีมูลค่าเงินลงทุนราว 1 ร้อยล้านบาท อย่างไรก็ตามการบันทึกกำไรดังกล่าวต้องรอการพิจารณาของผู้สอบบัญชีอีกครั้งหนึ่ง

นอกจากนี้ยังเชื่อมั่นว่า JMT ยังมีศักยภาพของบริหารหนี้ยังสดใสโดยมีประเด็นสำคัญ ดังนี้

1. ด้วยระดับหนี้เสียในระบบสถาบันการเงินที่สูงขึ้นอย่างต่อเนื่อง ทำให้ความต้องการในการขายหนี้เสียมีอยู่มาก ซึ่งในช่วง 11 เดือนที่ผ่านมาบริษัทได้ทำการเข้าซื้อหนี้คิดเป็นมูลหนี้รวมเกือบ 1.3 หมื่นล้านบาท และปัจจุบันพอร์ตของบริษัทมีมูลหนี้เกิน 1 แสนล้านบาทแล้ว สำหรับในช่วงปลายปีคาดว่ายังมีโอกาสจะซื้อหนี้เพิ่มเติมได้อีกเพื่อให้ยอดรวมทั้งปีใกล้เคียงกับเป้าหมายการซื้อหนี้ปี 59 ที่บริษัทวางไว้ที่ 2 หมื่นล้านบาท

2. สำหรับปี 60 บริษัทคาดว่าสถานการณ์หนี้เสียของสถาบันการเงินจะยังไม่ดีขึ้นจนถึงกลางปี ซึ่งเป็นความเห็นที่ตรงกันกับความเห็นของธนาคารส่วนใหญ่ โดยบริษัทตั้งเป้าจะซื้อหนี้เข้ามาเพิ่มเติมอีก 3 หมื่นล้านบาท นอกจากนี้บริษัทยังมองเห็นโอกาสในการเข้าซื้อหนี้เสียของสินเชื่อบ้าน (ในส่วนที่เป็นยอดขายทุนจากการขายสินทรัพย์) ซึ่งเป็นตลาดที่ใหญ่และหากสำเร็จคาดว่าบริษัทอาจมีการปรับเป้าหมายการซื้อหนี้เพิ่มขึ้นได้

3. ทั้งนี้ภายหลังการลดสัดส่วนการถือหุ้นใน J Fintech ซึ่งจะทำให้บริษัทได้รับชำระคืนเงินกู้ยืมระหว่างกันราว 1 พันล้านบาทนั้น บริษัทคาดว่าจะนำไปชำระคืนเงินกู้ยืมจากสถาบันการเงิน (หากชำระทั้งจำนวนคาดว่าจะทำให้ D/E ลดเหลือ 1.4-1.5 เท่า จากปัจจุบันที่ราว 2 เท่า) ซึ่งสภาพคล่องที่ดีขึ้นนี้จะสามารถรองรับเป้าการซื้อหนี้ในปี 60 ได้

ขณะที่ผลการดำเนินงานไตรมาส 3 สิ้นสุดวันที่ 30 กันยายน 2559 บริษัทมีรายได้รวมขยับขึ้นมาอยู่ที่ 302.46 ล้านบาท จากงวดเดียวกันของปีก่อน 180.78 ล้านบาท เป็นผลมาจากรายได้จากการให้บริการติดตามหนี้สินและบริการอื่นเพิ่มขึ้น, รายได้จากการเรียกเก็บหนี้จากลูกหนี้ที่รับซื้อเพิ่มขึ้น และรายได้ดอกเบี้ยและรายได้ที่เกี่ยวข้องเพิ่มขึ้น ส่งผลให้บริษัทมีกำไรขยับขึ้นมาอยู่ที่ 51.49 ล้านบาท หรือ 0.14 บาทต่อหุ้น จากงวดเดียวกันของปีก่อน 21.73 ล้านบาท หรือ 0.06 บาทต่อหุ้น

ส่วนผลการดำเนินงานงวดเก้าเดือน สิ้นสุดวันที่ 30 กันยายน 2559 บริษัทมีรายได้รวมขยับขึ้นมาอยู่ที่ 775.92 ล้านบาท จากงวดเดียวกันของปีก่อน 511.62 ล้านบาท แต่ทางด้านผลกำไรทำได้ทั้งสิ้น 71.45 ล้านบาท หรือ 0.19 บาทต่อหุ้น จากงวดเดียวกันของปีก่อน 77.55 ล้านบาท หรือ 0.23 บาทต่อหุ้น ถือว่าบริษัทยังรักษาความสามารถได้อยู่

ในขณะที่นักวิเคราะห์ บล. ทรีนีตี้ คงคำแนะนำ “ซื้อ” และราคาเป้าหมายไว้ที่ 20.60 บาท โดยการบันทึกกำไรพิเศษหรือไม่นั้นเป็นผลกระทบเพียงแค่ทางบัญชี และจะไม่กระทบต่อการประเมินกระแสเงินสดที่เราทำไว้อย่างมีนัยสำคัญ

 

ผู้ถือหุ้นรายใหญ่

1.บริษัท เจ มาร์ท จำกัด (มหาชน) 206,749,783 หุ้น 55.88%

2.นายนเรศ งามอภิชน 18,549,500 หุ้น 5.01%

3.บริษัท บีทีเอส กรุ๊ป โฮลดิ้งส์ จำกัด (มหาชน) 15,500,000 หุ้น 4.19%

4.นางวราณี เสรีวิวัฒนา 8,018,825 หุ้น 2.17%

5.นายมนต์ชัย ลีศิริกุล 7,220,000 หุ้น 1.95%

 

รายชื่อกรรมการ

1.นาย อดิศักดิ์ สุขุมวิทยา ประธานกรรมการ

2.น.ส. ยุวดี พงษ์อัชฌา กรรมการ

3.นาย ปิยะ พงษ์อัชฌา กรรมการ

4.น.ส. ลัดดา วรุณธารากุล กรรมการ

5.นาย เริงชัย อิงคภากร กรรมการอิสระ

Back to top button