พาราสาวะถี อรชุน
พิจารณาเนื้อหาสาระของร่างกฎหมายคอมพิวเตอร์ที่สภาตรายางอย่างสนช.ยกมือเห็นชอบแบบเอกฉันท์แล้ว ทำให้มองถึงการกำหนดยุทธศาสตร์ชาตินานถึง 20 ปี มันจะนำพาประเทศไปสู่ความก้าวหน้าได้อย่างที่โพนทะนาจริงหรือ เพราะหลายเรื่องล้วนแล้วแต่พาประเทศถอยหลังเข้าคลอง เพียงแต่บรรดาพวกที่ไม่เอานักการเมืองต่างพากันเมินเฉยที่จะวิพากษ์วิจารณ์เท่านั้น
พิจารณาเนื้อหาสาระของร่างกฎหมายคอมพิวเตอร์ที่สภาตรายางอย่างสนช.ยกมือเห็นชอบแบบเอกฉันท์แล้ว ทำให้มองถึงการกำหนดยุทธศาสตร์ชาตินานถึง 20 ปี มันจะนำพาประเทศไปสู่ความก้าวหน้าได้อย่างที่โพนทะนาจริงหรือ เพราะหลายเรื่องล้วนแล้วแต่พาประเทศถอยหลังเข้าคลอง เพียงแต่บรรดาพวกที่ไม่เอานักการเมืองต่างพากันเมินเฉยที่จะวิพากษ์วิจารณ์เท่านั้น
ความเป็นจริงเป็นอย่างไรเชื่อแน่ว่าหลายคนรู้อยู่แก่ใจดี ที่ไม่เปิดปากตำหนิหรือคัดค้านไม่รู้ว่าเพราะกลัวอำนาจเบ็ดเสร็จเด็ดขาด หวาดหวั่นก็การถูกเรียกไปปรับทัศนคติหรือเพราะใจมีอคติ เกลียดนักการเมืองกลัวพวก ทักษิณ ชินวัตร จะกลับมา จึงต้องหลับหูหลับตาให้คณะรัฐประหาร ใช้อำนาจเผด็จการได้ตามอำเภอใจ ด้วยการอ้างความชอบธรรมจากสภาตรายาง
เรื่องแผนยุทธศาสตร์ชาตินั้น เรามีตัวอย่างให้เห็นแล้วจากประเทศเพื่อนบ้านอย่างพม่า ซึ่งจากเนื้อหาบางช่วงบางตอนของคอลัมน์เปิดฟ้าส่องโลก โดยคุณนิติการุณย์ มิ่งรุจิราลัย เขียนไว้น่าสนใจ สภาปฏิวัติเขียนยุทธศาสตร์ชาติไว้อย่างสวยหรูดูเลิศว่า รัฐจะพัฒนาเกษตรกรรมและอุตสาหกรรมให้ทันสมัย โดยเบื้องต้นรัฐจะอนุญาตให้กิจการภาคเอกชนดำเนินการต่อไป แต่ต้องถูกจำกัดสิทธิบางประการ
ผลจากการบริหารประเทศตามแนวทางยุทธศาสตร์ชาติที่คณะทหารเขียนไว้ คือเหตุผลสำคัญที่ทำให้สถานะของพม่าต่ำเตี้ยลงไปในแต่ละปี จากปี 2505 จนถึง 2540 เรียกว่าจากหน้ามือเป็นหลังมือเลยทีเดียว คณะทหารพม่าอาจชำนาญยุทธศาสตร์รบ แต่พอมาเขียนยุทธศาสตร์ชาติก็ต้องยอมรับว่าเขียนไม่ได้เรื่อง เพราะสิ่งที่เขียนออกมายึดเอาประโยชน์ของฝ่ายทหารและพวกพ้องเป็นที่ตั้ง
เมื่อยึดเอาผลประโยชน์ส่วนตัวและพวกพ้องเป็นใหญ่เสียแล้ว จึงทำให้ละเลยและไม่เขียนเรื่องที่เป็นผลประโยชน์ของประชาชน ยกตัวอย่างที่คณะทหารพม่าในสภาปฏิวัติเขียนเอาไว้ในเอกสารที่อ่านแล้วคงไม่ต้องแปลต่อ เช่น มนุษย์ไม่ได้เท่าเทียมกันทั้งในด้านร่างกายและสติปัญญา มนุษย์จึงควรได้รับส่วนแบ่งอย่างยุติธรรมตามความสามารถของตน
การเขียนเช่นนี้จึงทำให้ทหารพม่าได้ทุกสิ่งทุกอย่างมากกว่ากลุ่มอาชีพอื่นตั้งแต่นั้นเป็นต้นมา นอกจากนั้น คณะทหารยังเขียนว่าพม่าจะปกครองด้วยระบบศูนย์รวมอำนาจไว้ที่คณะผู้นำเพียงกลุ่มเดียว การปกครองแบบนี้จะถูกนำมาแทนที่ระบอบประชาธิปไตยแบบรัฐสภา เพราะเท่าที่ผ่านมาประชาธิปไตยแบบรัฐสภาไม่สามารถพัฒนาประเทศได้ และมีจุดอ่อนมากมายที่เปิดช่องให้พวกฉวยโอกาสหลอกลวงประชาชน จึงไม่สามารถเป็นที่ยอมรับกันได้อีกต่อไป
ฟังดูแล้วมันคุ้นๆ หูยังไงชอบกลไหม เมื่อชนชั้นนำของพม่าได้อ่านยุทธศาสตร์ชาติของสภาปฏิวัติที่เขียนโดยคณะทหาร พวกที่มีแรมต่ำและมวลสมองน้อยก็เคลิบเคลิ้มหลงใหลได้ปลื้ม คนหลายกลุ่มฝันเฟื่องเรื่องอนาคตที่ตนเองและลูกหลานจะได้อยู่ในประเทศที่มีความมั่นคงก้าวหน้า แต่ผลสุดท้ายเรื่องนี้มีจุดจบอย่างไรคงไม่ต้องเล่าอีก
อย่างไรก็ตาม หากจะพูดถึงเรื่องกฎหมายคอมพิวเตอร์ที่ตกเป็นกระแสวิจารณ์และมีกลุ่มเคลื่อนไหวคัดค้านต่อเนื่องมาถึงวันนี้ ด้านหนึ่งคงต้องให้ความเป็นธรรมกับผู้มีอำนาจเวลานี้ เมื่อที่มาถูกตั้งคำถามและมีความพยายามจะตรวจสอบกันทุกวิถีทาง จึงต้องตั้งการ์ดสูงเป็นธรรมดา โดยเฉพาะโลกออนไลน์ที่สั่นคลอนอำนาจของท่านผู้นำและคณะได้มากที่สุด
จึงต้องหามาตรการที่มั่นใจได้ว่าจะกำราบพวกจ้องจะเล่นงาน สร้างความหวาดกลัวเพื่อจะได้ไม่กล้ามาสะเออะโจมตี ซึ่งจะว่าไปแล้วนับตั้งแต่รัฐบาลรัฐประหารคมช.ที่นำโดย พลเอกสุรยุทธ์ จุลานนท์ ก็ได้มีแนวคิดที่จะจัดการกับกลุ่มเห็นต่างหรือพวกที่ไม่หวังดีมาแล้ว คราวนั้น วุฒิพงษ์ เพรียบจริยวัฒน์ รักษาการกรรมการผู้จัดการใหญ่บริษัท ทีโอที จำกัด (มหาชน) ระบุว่า กองทัพกำลังเตรียมเครื่องมือดักฟังโทรศัพท์พื้นฐานของทีโอทีทุกคู่สาย โดยใช้เงินบริจาค 8,000 ล้านบาทจากทีโอที
ในปี 2553 กระทรวงไอซีทีในสมัยรัฐบาล อภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ เสนอให้ติดระบบดักจับข้อมูลบนอินเทอร์เน็ตหรือสนิฟเฟอร์ โดยให้เหตุผลว่าเพื่อป้องกันการละเมิดทรัพย์สินทางปัญญาและเพื่อช่วยคัดกรองเว็บไซต์ไม่เหมาะสม ท่ามกลางเสียงวิจารณ์อย่างหนักกับเหตุผลที่อ้าง โดยฝ่ายตรงข้ามฟันธงว่า เป้าหมายที่แท้จริงคือนำไปจัดการกับฝ่ายตรงข้ามรัฐบาลเวลานั้น
ขณะที่ในยุคของรัฐบาล ยิ่งลักษณ์ ชินวัตร มีข้อเสนอจาก เฉลิม อยู่บำรุง เกี่ยวกับการจัดซื้ออุปกรณ์เพื่อดักรับข้อมูลที่อาจละเมิดกฎหมายอาญามาตรา 112 ขณะที่กองบังคับการปราบปรามการกระทำความผิดเกี่ยวกับอาชญากรรมทางเทคโนโลยีหรือปอท. โดย พลตำรวจตรีพิสิษฐ์ เปาอินทร์ ผู้บังคับการปอท. ในขณะนั้น บอกว่า จะตรวจสอบผู้ใช้บริการสื่อสังคมในทางผิดกฎหมาย กระทบต่อความมั่นคงและศีลธรรมอันดี
เหล่านี้หากนำมาเทียบเคียงกับยุคสมัยนี้ก็ต้องให้ความเป็นธรรมกับ พลเอกประยุทธ์ จันทร์โอชา ว่าได้ดำเนินการไปไม่แตกต่างจากทุกรัฐบาลก่อนหน้า เพียงแต่ว่าสิ่งที่แตกต่างกันคือ ความเด็ดขาดของอำนาจฝ่ายนิติบัญญัติที่จะยกมือหนุน เนื่องจากไม่มีฝ่ายค้านจึงไร้การทักท้วง ทัดทาน ทุกอย่างมันจึงผ่านได้แบบสะดวกโยธินก็เท่านั้นเอง แม้แต่รายชื่อ 360,000 รายก็ไร้ความหมาย นี่แหละ คืออนาคตอันเรืองรองของประเทศไทยภายใต้ยุทธศาสตร์ 20 ปี
ไม่มีอะไรต้องปกปิดเปิดเกมสู้เปิดหน้าชกกันเห็นๆ ทั้ง ทักษิณ-ยิ่งลักษณ์ และ สมชาย วงศ์สวัสดิ์ ต่างพร้อมใจกันโพสต์ข้อความผ่านโซเชียลมีเดีย เชิญชวนคนไทยอวยพรปีใหม่และมอบของขวัญให้กันด้วยข้าวของชาวนา เป็นการตลาดเพื่อตอกย้ำถึงน้ำยาของรัฐบาลต่อการแก้ไขความเดือดร้อนของเกษตรกร อีกด้านคือโชว์ภาพความห่วงใยที่มีต่อแนวร่วมฐานใหญ่ที่สนับสนุนพรรคเพื่อไทยนั่นเอง
เมื่อหัวขยับอย่างนี้ แน่นอนว่าบรรดาหางทั้งหลายต้องขยับตาม จากนั้นก็จะเป็นภาครัฐบาลที่ต้องหามาตรฐานมาแก้เกม จะปีใหม่อีกไม่กี่วัน หนทางที่จะก้าวไปสู่โรดแมปตามคำสัญญาของท่านผู้นำ พอจะเห็นแล้วว่า ไม่น่าจะโรยด้วยกลีบกุหลาบ เกมการชิงไหวชิงพริบและยึดพื้นที่ข่าวสารคงจะเกิดขึ้นต่อเนื่อง อยู่ที่ว่าใครจะพลาดให้อีกฝ่ายเปิดแผลแล้วขยายผลทำลายความน่าเชื่อถือ ยุทธศาสตร์ทางการเมืองไม่ได้อยู่ที่ว่าจะเลือกตั้งวันใด หากแต่เป้าหมายอยู่ที่ว่าใครจะเพลี่ยงพล้ำให้อีกฝ่ายได้กระทืบซ้ำเท่านั้นเอง