พาราสาวะถี อรชุน
ต้องเรียกมาเขกกบาลกันคนละทีสองทีหรือเปล่า สำหรับคณะนายตำรวจที่เกี่ยวข้องกับปฏิบัติการระดมพลเกือบพันนาย ไปบุกวัดพระธรรมกายแค่เพียงจะรื้อรั้วเท่านั้น งานนี้บอกแล้วไม่ใช่แค่เสียหน้าแต่มันเสียหายต่อความเชื่อมั่นในการทำงานของคนสีกากีเอง และจะกระทบชิ่งไปถึงกระบวนการยุติธรรมเสียฉิบ เพราะมีคำถามว่า ที่ไปขอหมายค้นต่อศาลบ่อยๆ นั้นให้เหตุผลกันว่าอย่างไร
ต้องเรียกมาเขกกบาลกันคนละทีสองทีหรือเปล่า สำหรับคณะนายตำรวจที่เกี่ยวข้องกับปฏิบัติการระดมพลเกือบพันนาย ไปบุกวัดพระธรรมกายแค่เพียงจะรื้อรั้วเท่านั้น งานนี้บอกแล้วไม่ใช่แค่เสียหน้าแต่มันเสียหายต่อความเชื่อมั่นในการทำงานของคนสีกากีเอง และจะกระทบชิ่งไปถึงกระบวนการยุติธรรมเสียฉิบ เพราะมีคำถามว่า ที่ไปขอหมายค้นต่อศาลบ่อยๆ นั้นให้เหตุผลกันว่าอย่างไร
หากเป็นเหตุผลเดิมๆ คนก็จะเริ่มสงสัยว่า แล้วทำไมจึงไม่บุกค้นเสียที หากไม่มีปัญญาที่จะทำก็อยู่เฉยๆ แล้วหาวิธีการเจรจาหรือคุยกับแบบเงียบๆ คดีน่าจะจบได้แบบบัวไม่ช้ำน้ำไม่ขุ่นมากกว่า พอเล่นวิชาแหกตาผ่านสื่อกันไปมา ถามว่าใครได้ใครเสีย ส่วนที่เกี่ยวข้องนั้นไม่ต้องพูดถึงมันไม่มีอะไรจะทำให้คนรู้สึกดีกันอีกแล้ว แต่ภาพลักษณ์ที่จะติดร่างแหไปด้วยคือพระพุทธศาสนา
รู้ทั้งรู้ บุกเข้าไปในธรรมกายจะเป็นเรื่องใหญ่แน่ แต่คนที่รับผิดชอบก็ยังไปแหย่ มิหนำซ้ำ ยังทำตัวยักแย่ยักยัน ฟังถ้อยแถลงของ พลเอกประยุทธ์ จันทร์โอชา หลังประชุมครม.เมื่อวันอังคาร ก็น่าจะเป็นคำตอบของเรื่องทั้งหมด มิเช่นนั้น คงไม่ประชดนักข่าวชวนไปเป็นแนวหน้าหากจะต้องบุกเข้าถ้ำธรรมกายจริงๆ
นั่นเป็นเพราะท่านผู้นำรู้แล้วว่าอะไรจะเกิดขึ้น จึงเป็นเรื่องได้ไม่คุ้มเสีย ยิ่งบรรยากาศเวลานี้คนส่วนใหญ่ใจจดใจจ่ออยู่ที่ห้วงเวลาหยุดยาว จึงอยากเห็นทุกคนมีความสุข สรุปแล้วคำพูดของบิ๊กตู่คือ อย่าทะลึ่งทำอะไรที่ใช้กำลังเนื่องจากจุดจบมันจะไม่สวย ด้วยเหตุนี้กระมังจากที่ตั้งท่าขึงขัง ผู้กำกับการสภ.คลองหลวงที่คุมกำลังไปประชิดรั้ววัดตั้งแต่ตี 3 จึงทำได้แค่รื้อรั้ว
อย่างที่รู้กันธรรมกายนั้นไม่ธรรมดา แม้ว่าวันนี้ฝ่ายรัฐจะอ้างจำนวนคดีที่สูงเกือบ 200 คดี แต่มีประโยชน์อะไร หากใช้จำนวนของความผิดเป็นตัวชี้วัดความไม่ชอบธรรมของฝ่ายที่ตกเป็นผู้ต้องหา แต่ว่าไม่สามารถจัดการ ดำเนินการตามกฎหมายได้ คนส่วนใหญ่จึงได้แต่ส่ายหัว นี่หรือคือกระบวนการยุติธรรมและการบังคับใช้กฎหมายอย่างเข้มงวด จริงจัง ตามที่ท่านผู้นำได้ประกาศไว้
ในเมื่อถือกฎหมายอาญาสิทธิ์เป็นยาวิเศษไว้ในมือ จะไม่ใช้ให้มันเกิดประโยชน์แล้วจะมีไว้เพื่ออะไร ว่าแล้ววันอังคารที่ผ่านมาท่านผู้นำจึงใช้อำนาจของหัวหน้าคสช.ออกคำสั่งตามมาตรา 44 เป็นประกาศ 3 ฉบับรวด เรื่องแรกคือ การเพิ่มประสิทธิภาพในกระบวนการพิจารณาอนุญาตผลิตภัณฑ์สุขภาพ ที่มีความเกี่ยวข้องกับคณะกรรมการอาหารและยาหรืออย.
ที่ปัจจุบันพบปัญหาผู้ผลิตทั้งในและต่างประเทศที่จะนำเข้า มีปัญหาในสินค้าที่ผลิตออกมา ไม่ว่าจะเป็น ผลิตภัณฑ์เพื่อสุขภาพ ยา เครื่องมือแพทย์ เป็นต้น พบความล่าช้าอย่างมาก ในกระบวนการพิจารณาอนุญาต เพื่อให้ได้ใบรับรองจากอย. เมื่อมีคำสั่งดังกล่าวออกมาจะทำให้มีการเร่งรัดกระบวนการได้เร็วมากขึ้น ซึ่งทางอย.ก็ยืนยันว่าทำได้และไร้ปัญหา
คำสั่งต่อมาว่าด้วยการแก้ปัญหาเรื่องสถานีเชื่อมต่อรถไฟฟ้าสายสีม่วงและสีน้ำเงินช่วงเตาปูน-บางซื่อ ระยะทาง 1 กิโลเมตร ที่บิ๊กตู่เคยขู่ไว้บนเวทีมอบนโยบายจัดทำงบประมาณเมื่อตอนต้นเดือนที่ผ่านมา ดังนั้น เมื่อใช้มาตรา 44 จะมีผลทำให้รฟม.ไปจ้างบริษัทเดินรถใดก็ได้ให้เข้ามาดำเนินการในช่วงสถานีดังกล่าวที่ไม่มีผู้เดินรถซึ่งอาจจะเป็นบริษัทเจ้าเดิมก็ได้
ในกรณีนี้ ศรีสุวรรณ จรรยา พร้อมพวกจำนวนหนึ่งได้ไปยื่นหนังสือร้องหัวหน้าคสช.ให้ทบทวน เพราะเกรงว่าจะเป็นการเอื้อประโยชน์ให้กับเอกชนเพียงรายเดียว แต่ก็มีคำยืนยันมาจากท่านผู้นำว่า การตัดสินใจในครั้งนี้เพื่อให้ประชาชนเดินทางได้สะดวกขึ้น คำนึงถึงผลประโยชน์ของประชาชนสูงสุด นอกจากนี้ยังได้มีข้อกำหนดว่าหากใช้มาตรา 44 แล้ว ไม่ต้องไปนำกฎหมายลงทุนร่วมรัฐเอกชนหรือทีพีพีมาใช้ เพื่อให้รวดเร็ว หากการเจรจากับบริษัทเดิมเพื่อให้ได้ในราคาถูกไม่สำเร็จ รฟม.สามารถจ้างบริษัทอื่นได้
เป็นอันว่าน่าจะจบปัญหากันได้เสียที ส่วนทำไปแล้วจะช่วยทำให้ผู้ใช้บริการรถไฟฟ้าสายสีม่วงกระเตื้องขึ้นหรือไม่ อันนี้ต้องไปวัดผลกันอีกรอบ เพราะบรรยากาศของการใช้บริการทุกวันนี้ต้องยอมรับความจริงว่า เห็นแล้ววังเวง แต่ก็อีกนั่นแหละ รฟม.คงมีเหตุผลมาอธิบาย สายสีน้ำเงินเดิมที่วิ่งใต้ดิน กว่าคนจะแน่นเหมือนทุกวันนี้ต้องใช้เวลาถึง 10 ปี อันนี้ก็ว่ากันไป
เรื่องสุดท้ายของมาตรา 44 อันนี้น่าสนใจ การตั้งคณะทำงานปฏิรูปประเทศ เพื่อให้เป็นไปตามคำสัญญา ในเรื่องของการปฏิรูปและกำหนดยุทธศาสตร์ชาติ 20 ปี โดยหลังจาก 4 เดือนที่รัฐธรรมนูญประกาศใช้ เราจะได้เห็นรายละเอียดในกฎหมายว่าด้วยวิธีการทำ แต่พอมองไปยังรายชื่อของคณะกรรมการทั้ง 19 รายที่จะตั้งขึ้นแล้ว ไม่รู้ว่าถนนสายปฏิรูปนั้นมันจะนำพาบ้านเมืองเดินไปข้างหน้าหรือเปล่า
เพราะคณะกรรมการชุดนี้จะประกอบไปด้วย นายกฯ รองนายกฯทุกคน ประธานและรองประธานสนช. ประธานและรองประธานสปท. รัฐมนตรี 2 ราย ข้าราชการประจำ ได้แก่ เลขาธิการสภาพัฒนาการเมือง เลขาธิการคณะกรรมการกฤษฎีกา ผู้อำนวยการสำนักงบประมาณและเลขาธิการนายกฯ เห็นโครงสร้างแล้วก็พอจะเดาผลที่จะออกมากันได้
อย่างไรเสียคงต้องรอดูผู้ที่จะเข้ามาเป็นคณะอนุกรรมการ หากมีคนจากหลากหลายภาคส่วนตรงนั้นก็ยังจะพอมีความหวังได้ว่า น่าจะเป็นการวางยุทธศาสตร์ชาติเพื่อนำไปสู่การปฏิรูปเดินหน้าประเทศไทย แต่หากยังเต็มไปด้วยคนจากส่วนราชการและคนจากเหล่าทัพ ก็ยากที่จะทำให้เกิดการยอมรับต่อระเบียบ ข้อบังคับ ที่จะให้คนที่มาจากการเลือกตั้งส่วนหนึ่งนำไปปฏิบัติได้
ไม่ใช่การปรามาส แต่อย่างที่เห็นและเป็นอยู่ ทุกอย่างที่ระบุว่าเป็นการวางแนวทางพัฒนาประเทศนั้น ล้วนแล้วแต่มีโครงการและโครงสร้างในรูปแบบราชการ ซึ่งทั้งเทอะทะและล่าช้า มิหนำซ้ำ บางหน่วยงาน บางองค์กรยังตั้งการ์ดสูง เพราะเกรงว่าบางอย่างหากก้าวข้ามขั้นตอนบางอย่างอาจจะถูกดำเนินคดีทางกฎหมายได้
การวาดฝันในอากาศหรือการพูดแบบขายความฝันนั้น ใครก็ทำกันได้ มิเช่นนั้น คงไม่เกิดนักพูดสร้างแรงบันดาลใจที่ช่วยกันอุปโลกน์กันขึ้นมา เหมือนอย่างกรณีการปราบปรามทุจริตคอร์รัปชั่นที่ประกาศกันเสียงดังฟังชัด แล้วเหตุใดผลการประกวดองค์กรที่มีความโปร่งใสของป.ป.ช. จึงไร้หน่วยงานภาครัฐได้รับรางวัล นี่ย่อมเป็นผลสะท้อนประการหนึ่ง ขึ้นอยู่กับว่าคนขายฝันจะรับกับความเป็นจริงที่เกิดขึ้นได้ไหม และเหล่าคนดีจะนำไปแก้ไขกันหรือไม่ หรือจะเป็นคนที่ชอบแก้ตัว