พาราสาวะถีอรชุน

ก่อนเดินทางไปเยือนบรูไน พลเอกประยุทธ์ จันทร์โอชา ให้สัมภาษณ์ที่บน.6 ด้วยท่วงทำนองที่ดุเดือด หลายเรื่องราว เรียกได้ว่าโดนตอกหน้ากันหลายรายไม่ว่าจะฝ่ายไหน พวกใครก็ตาม เริ่มตั้งแต่ปมน้ำท่วมกรุงเทพฯ หลังจากฝนตกหนักต่อเนื่องแค่ไม่เท่าไหร่ ท่านนายกฯ ถึงกับควันออกหู บอกว่าเตือนมาตั้งนานแต่มัวแต่ทำงานเชิงรับ


ก่อนเดินทางไปเยือนบรูไน พลเอกประยุทธ์ จันทร์โอชา ให้สัมภาษณ์ที่บน.6 ด้วยท่วงทำนองที่ดุเดือด หลายเรื่องราว เรียกได้ว่าโดนตอกหน้ากันหลายรายไม่ว่าจะฝ่ายไหน พวกใครก็ตาม เริ่มตั้งแต่ปมน้ำท่วมกรุงเทพฯ หลังจากฝนตกหนักต่อเนื่องแค่ไม่เท่าไหร่ ท่านนายกฯ ถึงกับควันออกหู บอกว่าเตือนมาตั้งนานแต่มัวแต่ทำงานเชิงรับ

จากนั้นจึงบอกว่าสั่งให้ พลเอกประวิตร วงษ์สุวรรณ ที่ดูแลเรื่องทุกข์สุขของพี่น้องประชาชน ไปตรวจสอบดูกทม.ดูว่า เหตุใดจึงปล่อยให้เกิดเรื่องเช่นนี้ ซึ่งในทันที หม่อมราชวงศ์สุขุมพันธ์ บริพัตร ผู้ว่าฯ กทม.ก็รีบออกมาแถลงข่าวตีเศร้ากล่าวคำขอโทษคนเมืองหลวง ตามสไตล์ทุกอย่างเร่งระบายอย่างเต็มที่แล้ว แต่เป็นเหตุสุดวิสัย

นี่คือการบริหารงานแบบพรรคเก่าแก่สไตล์ อะไรที่ผิดพลาดก็ทำได้แค่ขอโทษ มิหนำซ้ำ ยังบอกด้วยว่า เหตุที่ถูกกล่าวหาไม่ยอมเก็บกวาดขยะตามท่อระบายน้ำ ก็โยนเป็นเรื่องของประชาชนที่ต้องช่วยกัน ที่สำคัญบอกว่ามันก็ท่วมกันอย่างนี้ทั้งประเทศ ให้มันได้อย่างนี้สิ แต่ก็คงจะโทษใครไม่ได้เพราะคนเมืองใหญ่เทใจเลือกคุณชายมาแล้ว เกิดปัญหาอะไรขึ้นก็ต้องก้มหน้ายอมรับสภาพ

ย้อนกลับไปที่นายกฯ ลุงตู่ จากอัดผู้ว่าฯ กทม.เสร็จ ก็หันไปซัด ณัฐวุฒิ ใสยเกื้อ เลขาธิการนปช. ที่ออกมาบอกว่า เหตุตูมตามที่เกิดขึ้นกับกรณีการพบวัตถุระเบิดเป็นเรื่องของฝ่ายรัฐบาลสร้างสถานการณ์มากกว่า งานนี้องค์รัฏฐาธิปัตย์ถึงผรุสวาทว่า ก็มันโง่ไง แล้วพวกเธอไปโง่ตามเขาหรือเปล่า รัฐบาลและผมจะทำไปเพื่ออะไร คิดดูสิด้วยความเป็นมนุษย์ ฉันมาฉันไม่ต้องการให้เกิดเรื่องแบบนั้นแล้วฉันจะมาทำเองทำไม เพื่อที่ฉันอยากจะอยู่ต่ออย่างนั้นหรือ

ตอกย้ำอีกกระทอกว่า ไม่สืบทอดอำนาจแน่นอน แต่อย่างน้อยในความโมโหโกรธานั้น ก็ทำให้เห็นว่า ท่านผู้นำก็รับฟังเสียงสะท้อนกรณีการเรียกตัวบุคคลไปปรับทัศนคติอยู่เหมือนกัน เมื่อยืนยันว่า ไม่มีการเรียกเสี่ยเต้นไปพบ เพราะไม่มีประโยชน์ หากเรียกไปแล้วไม่มีการปล่อยตัวก็จะถูกกล่าวหาว่าละเมิดสิทธิมนุษยชนอีก

แสดงว่าเข้าใจอย่างถ่องแท้และด้านหนึ่งน่าจะเป็นผลมาจากแรงกดดันจากต่างชาติที่จับจ้องประเด็นนี้เป็นพิเศษ โดยเฉพาะปัญหาการค้ามนุษย์ ซึ่งก็เป็นอีกปมที่ทำให้บิ๊กตู่ปรี๊ดแตกต่อกรณีการรายงานข่าวของนักข่าวสาวชื่อดังของทีวีช่องหนึ่ง เกี่ยวกับแรงงานประมงชาวไทยที่ถูกหลอกที่อินโดนีเซีย ถึงขั้นบอกว่า ให้นักข่าวคนดังว่ามาพบเจ้าหน้าที่ด้วย

เรียกได้ว่าเวลานี้แตะไปจุดไหนจะเป็นการไปสะกิดแผลให้ท่านผู้นำไม่พอใจได้ตลอด สำหรับกรณีแรงงานประมงนั้นก็พอจะเข้าใจ เพราะเวลานี้ไทยถูกทางสหภาพยุโรปหรืออียูให้ใบเหลืองอยู่จากกรณีการทำประมงที่ผิดกฎหมายหรือไอยูยู ซึ่งได้มีการขีดเส้นตายให้เวลา 180 วันในการแก้ไข หากทำไม่สำเร็จอาจมีปัญหาไม่ซื้อปลากว่า 2 แสนล้านตันเหมือนอย่างที่บิ๊กตู่ว่า

ความอ่อนไหวที่จะกระทบต่อปมด้านเศรษฐกิจนี่แหละถือเป็นเรื่องที่รัฐบาลจะต้องระมัดระวัง วันนี้สัญญาณที่ส่งกันมาก่อนหน้าแล้วต้องแตะเบรกไว้คือ ภาษีบ้านและที่ดิน คงต้องเหยียบกันไว้อย่างนั้น จนกว่าประชาชนเสียงส่วนใหญ่จะมีอารมณ์ร่วมและรู้สึกว่ามีปัญญาที่จะจ่ายให้ภาครัฐเท่านั้น ล่าสุด ท่านผู้นำก็ยืนยันแล้วว่า จะไม่มีการขึ้นภาษีมูลค่าเพิ่มหรือแวตแน่นอนในปี 2558

เอ๊ะ! เป็นคำตอบแบบศรีธนญชัยหรือเปล่า แต่อย่างน้อยก็พอเบาใจได้ว่าประชาชนคนเงินเดือนน้อยจะไม่ได้รับกระทบ เห็นด้วยกับคำพูดของหัวหน้าคสช.ที่บอกว่า ถ้าไม่รู้เรื่องไม่มาเป็นนายกฯ โว้ย แต่ช่วยทำให้ดูก่อนได้ไหม ว่ารู้แล้วจะแก้ไขปัญหาให้มันเห็นเป็นรูปธรรมอย่างไร ไม่ใช่บอกจะทำโน่นนี่นั่น เหมือนเป็นการวาดวิมานในอากาศ เรื่องอย่างนี้ปล่อยให้พรรคการเมืองที่เขาถนัดดีแต่พูดทำไปเถอะ

คงไม่มีใครเถียงว่าคนที่ก้าวมาถึงขั้นกุมขุมกำลังกองทัพและยึดอำนาจจนได้เป็นนายกรัฐมนตรี ไม่มีความรู้ความสามารถ หากแต่ปมที่คนเขาสงสัยคือ ไม่ใช่เก่งอยู่คนเดียว ทีมงานจะต้องทำกันเป็นทีมเวิร์กด้วย โดยเฉพาะทีมงานด้านเศรษฐกิจ เวลานี้ถามแล้วตอบให้ตรงด้วยว่า นอกจากมาตรการรีดภาษีแล้ว มีมาตรการอะไรจากทีมเศรษฐกิจรัฐบาลที่จะหาเงินเข้าประเทศหรือไม่

วิพากษ์วิจารณ์มากไปก็ไม่ได้ เพราะวันวานท่านขู่เอาไว้แล้ว จะดูทุกสื่อและจำเป็นจะใช้อำนาจทุกคน ไม่ได้ไม่ให้วิจารณ์ ทำได้แต่ขอให้เข้าใจกันหน่อย วันนี้คำสั่งคสช.ยังมีอยู่ ลืมกันหรือไงสบายกันเกินไปแล้วล่ะมั้ง ถ้าอย่างงั้นก็ต้องรีบหุบปาก ทุกอย่างที่ทำมาทั้งหมดไม่ว่าจะเป็นผลงานของคสช.และรัฐบาลคสช.ดีเลิศประเสริฐศรี ไม่มีที่ติจริงๆ

หากเป็นไปอย่างที่ ศรีสุวรรณ จรรยา ออกมาปูดข้อมูลจริง คงต้องมีปุจฉาไปถึงหัวหน้าคสช.ว่าจะปล่อยให้เป็นไปเช่นนี้หรือ กับประเด็นที่ว่าสปช.ออกลูกหัวหมอ พอถูกขุดคุ้ยเรื่องตั้งเครือญาติมาทำหน้าที่ผู้ช่วย ที่ปรึกษา และผู้เชี่ยวชาญประจำตัว วิปสปช.เลยมีมติให้คนที่ได้รับการแต่งตั้งลาออกทั้งหมด แต่ปรากฏว่ากลับมีการแต่งตั้งใหม่ลักษณะไขว้ญาติกัน

กล่าวคือ สมาชิกก.ไก่ใช้เครือญาติของสมาชิกข.ไข่มาทำหน้าที่ดังว่า โดยที่เครือญาติข.ไข่.ก็ไปเป็นที่ปรึกษาผู้ช่วยให้กับสมาชิกฮ.นกฮูก อะไรประมาณนั้น ถามว่าทำเช่นนี้ได้อะไร นอกเหนือจากเลี่ยงบาลีไม่ให้ตกเป็นขี้ปากว่าเป็นสภาเครือญาติ แต่ถามในแง่ของจริยธรรมและความรับผิดชอบซึ่งจะต้องมีสูงส่งกว่านักการเมืองที่ถูกกล่าวหาว่าชั่วว่าเลวใช้ได้หรือไม่

นอกจากจะให้เป็นเรื่องของหัวหน้าคสช.แล้ว คงต้องฝากคนดีอย่าง เทียนฉาย กีระนันทน์ ประธานสปช.ช่วยตรวจสอบอีกทาง หากยังใช้วิธีแบบนี้ ก็ไม่น่าจะมีความสง่างามในการทำหน้าที่ทักท้วงรวมทั้งยกมือผ่านหรือไม่ผ่านร่างรัฐธรรมนูญฉบับใหม่ เพราะขนาดผลประโยชน์ส่วนตัวยังไม่ยอมปล่อยวาง แล้วจะไปฝากผีฝากไข้ให้ดูแลประโยชน์ที่ใหญ่หลวงของประเทศชาติและประชาชนได้อย่างไร

 

Back to top button