ต้นร้าย ปลายดีพลวัต 2016

วันนี้ดัชนีหุ้นไทยมีลุ้นยืนเหนือ 1,550 จุด แต่จะทำได้หรือไม่ได้ ก็ถือว่าปีนี้เป็นปีที่จบสวย ในลักษณะ ต้นร้ายปลายดีวันยังค่ำ เพราะเริ่มต้นปีด้วยดัชนีที่ต่ำกว่า 1,300 จุด พร้อมกับผ่านเหตุการณ์เชิงลบครั้งแล้วครั้งเล่า


วิษณุ โชลิตกุล

 

วันนี้ดัชนีหุ้นไทยมีลุ้นยืนเหนือ 1,550 จุด แต่จะทำได้หรือไม่ได้ ก็ถือว่าปีนี้เป็นปีที่จบสวย ในลักษณะ ต้นร้ายปลายดีวันยังค่ำ เพราะเริ่มต้นปีด้วยดัชนีที่ต่ำกว่า 1,300 จุด พร้อมกับผ่านเหตุการณ์เชิงลบครั้งแล้วครั้งเล่า

หลายคนบอกว่าที่ผลประกอบการของบริษัทจดทะเบียนปีนี้ดูดีกว่าปีก่อน เพราะว่า 1) ปีที่แล้วเป็นปีที่เลวร้ายสุดๆ  พ้นจากปีที่เลวร้าย ก็คือปีที่ดีเยี่ยม ทั้งที่อาจจะไม่ได้ดีจริง หรือแค่กลับมาปกติ  2) บริษัทจดทะเบียนขนาดใหญ่จำนวนมากใช้วิศวกรรมการเงิน ทำให้ดูมีกำไรดีขึ้น ไม่ใช่เกิดจากกำไรปกติ

ข้อสรุปดังกล่าว ไม่สามารถปิดบังข้อเท็จจริงว่า มีบริษัทจดทะเบียนจำนวนมากมีกำไรโดดเด่นจากภายใน และสามารถสร้างโอกาสในวิกฤตได้ดีในตลาดหุ้นไทย  โดยไม่ต้องอาศัยวิศวกรรมการเงิน แต่อาศัยความมีเหตุมีผล

เช่นเดียวกัน ปีนี้ก็เป็นปีที่มีปรากฏการณ์พิเศษเพราะไม่มีหุ้น IPO ที่เข้ามาระดมทุนในตลาดหุ้นไทย แล้วเข้าเทรดวันแรก เกิดปรากฏการณ์ “หลุดจอง” แม้แต่รายเดียว ซึ่งถือว่าเป็นปรากฏการณ์ที่ไม่เห็นบ่อยนัก ส่วนหนึ่งมาจากการตั้งราคาขายจองที่สมเหตุสมผลและไม่เอาแต่โลภถ่ายเดียวของผู้ถือหุ้นใหญ่ของกิจการแต่ละราย

แม้ปี 2559 จะจบลงอย่างสวยงามอีกปีหนึ่ง แต่สถานการณ์แวดล้อมภายนอกตลาดก็ยังมีเค้าลางของปัญหาคล้ายกับปีก่อนหลายเรื่องคือ 1) ท่าทีและมาตรการขึ้นดอกเบี้ยของเฟด (ซึ่งซ้ำรอยกับปีก่อน) 2) ข้อตกลงลดกำลังการผลิตน้ำมันดิบของโลกยังต้องการความชัดเจนว่าจะไม่มีการแหกข้อตกลงของชาติที่เข้าร่วมโครงการ 3) การฟื้นตัวของราคาสินค้าโภคภัณฑ์ทั่วโลกจะยั่งยืนแค่ไหน

โจทย์ที่ตกค้างดังกล่าว จะส่งต่อไปยังปี 2560 หรือปีระกา ที่เรียกกันวา “ปีไก่ทอง” อย่างเลี่ยงไม่พ้น

แม้ว่าปีของดอกเบี้ยต่ำติดดินกำลังจะสิ้นสุดลงหลังจากที่เฟดของสหรัฐตัดสินใจขึ้นดอกเบี้ยกลางเดือนธันวาคมนี้ไปแล้ว แต่การฟื้นที่ค่อนข้างช้าในขอบเขตทั่วโลกก็ยังมีคำถามว่าตลาดหุ้นและตลาดเก็งกำไรทั่วโลก จะต้องเผชิญกับความผันผวนอะไรบ้าง โดยเฉพาะปัญหาเรื่องการเคลื่อนย้ายทุนครั้งใหญ่ที่จะมีทิศทางมุ่งไปสู่สหรัฐ การถือครองดอลลาร์มากกว่าที่อื่นๆ

ความแปรปรวนของตลาดจากการเคลื่อนย้ายทุน จะเกิดขึ้นได้ง่ายกับตลาดเกิดใหม่ขนาดเล็ก และตลาดที่มีทุนสำรองเงินตราระหว่างประเทศต่ำ เนื่องจากจะส่งผลต่อตลาดอัตราแลกเปลี่ยนและตลาดทุนที่รุนแรงกว่าปกติเสมอ

ความแปรปรวนนี้ ส่งผลกระทบต่อจิตวิทยาการลงทุนให้นักลงทุนต้องเผชิญกับแรงเหวี่ยงของความโลภและความกลัวด้วยจิตใจที่ไหวหวั่นง่าย

ในทางทฤษฎีนักลงทุนที่เข้ามาในตลาดเก็งกำไร ล้วนถูกชักนำด้วยความโลภและความกลัวเป็นอาภรณ์ห่มคลุมจิตใจเสมอ ขาดอย่างใดอย่างหนึ่งไม่ได้

                คนที่ตกเป็นเหยื่อของความโลภ กับคนที่ตกเป็นเหยื่อของความกลัวให้ผลลัพธ์ของการลงทุนแตกต่างกันเพียงแค่เล็กน้อย ทำนองเดียวกับความแตกต่างระหว่าง การหากำไรจากเงินสดในมือ และการแสวงหาความปลอดภัยจากเงินออม

                คนที่ถูกความกลัวครอบงำมากเกินขนาด ไม่ควรเข้ามาในตลาดหุ้น เพราะจะหาโอกาสในการทำกำไรได้น้อยมาก และคนที่มีแต่ความกล้า โดยปราศจากความกลัว ก็ไม่ควรเข้ามาในตลาดหุ้นเช่นกัน เพราะมีโอกาสขาดทุนมากกว่ากำไร

ข้อเท็จจริงของนักลงทุนทุกคนในตลาดหุ้นคือ โดยพื้นฐาน เป็นผู้มีเงินออม ไม่ใช่นักการพนันประเภทกู้ยืมคนอื่นมาเพื่อเสี่ยงโดยพื้นฐาน เพียงแต่กระบวนการตัดสินใจในการเลือกซื้อหรือขายให้ผลตอบแทนแตกต่างกัน

การลงทุนในตลาดหุ้น จึงไม่ใช่แรงจูงใจของความโลภ แต่เป็นแรงจูงใจของความกลัวมากกว่า และธุรกรรมของตลาดหุ้น ไม่ใช่กิจกรรมของพวกแสวงหาทางบรรลุนิพพานตามหลักศาสนาใดๆ หากเป็นวิถีของมนุษย์สามัญ

นักคิดในอดีตอย่าง ลูเซียส เซเนก้า แห่งจักรวรรดิโรมันเมื่อสองพันปีก่อนกล่าวว่า หากเริ่มต้นด้วยความโลภ เรื่องอื่นก็เล็กหมด  ในขณะที่เช่นเดียวกับนักบุญทอมัส อะไควนัส ที่พูดในทำนองเดียวกันว่า ความโลภทำให้มนุษย์สาปแช่งสรรพสิ่งที่นำมาซึ่งชีวิตนิรันดร์ เพียงเพื่อไขว่คว้าหาความสุขชั่วแล่นเฉพาะหน้า

ทางด้านมุมมองของ วอร์เรน  บัฟเฟตต์ ราชาหุ้นแห่งวอลล์สตรีทร่วมสมัย ก็เคยบอกว่า เคล็ดลับสำหรับความรวยในตลาดหุ้นของเขาไม่มีอะไรยากเย็น เพียงแค่ฝึกกลัวในยามที่คนอื่นโลภ และฝึกโลภในยามที่คนอื่นกลัว

ต่อมา กอร์ดอน เก้กโก้ ตัวละครในภาพยนตร์ WallStreet  ที่กลายเป็นตำนาน ก็พูดว่า “ความโลภดีเสมอ ถูกต้องเสมอ และทำงานได้ผลดีเสมอ แต่ความโลภก็มีหลากรูปแบบ เกินกว่าจะบรรยาย”

ตลาดหุ้นปี 2560 ยังคงหนีไม่พ้นสภาพธรรมชาติเดิมๆ แบบปีที่กำลังจะผ่านไป นั่นคือ  ราคายุติธรรม และพื้นฐานของกิจการได้ถูกปัจจัยภายนอกคือ การที่โลกในยุคโลกาภิวัตน์มีส่วนทำให้ ตลาดทุน ตลาดสินค้า ตลาดโภคภัณฑ์ และตลาดเงินปรับตัวพร้อมกันทีเดียว แทนที่จะปรับทีละตลาดแบบในอดีต ทำให้เกิดความไหวหวั่นขึ้นจนยากแก่การควบคุมความแปรปรวน อันขับเคลื่อนด้วยความโลภและความกลัว จนกระทั่งอารมณ์ของตลาดไม่สามารถสงบนิ่งได้ยาวนาน

เพียงแต่เราต้องคาดหวังว่า ความโลกและความกลัวในปี 2560 จะไม่ทำให้เกิดภาวะ “ต้นดี ปลายร้าย” หรือ  “ขึ้นต้นเป็นลำไม้ไผ่ เหลาลงไป กลายเป็นบ้องกัญชา” ด้วยสาเหตุที่อธิบายไม่ได้

Back to top button