พาราสาวะถี อรชุน
คณะกรรมการชื่อยาวที่ว่า คณะกรรมการบริหารราชการแผ่นดิน ตามกรอบการปฏิรูปประเทศ ยุทธศาสตร์ชาติ และการสร้างความสามัคคีปรองดองหรือป.ย.ป.คือความหวังของ พลเอกประยุทธ์ จันทร์โอชา และองคาพยพแม่น้ำ 5 สาย ในการที่จะทะลุทะลวงสร้างผลงานให้กับรัฐบาลคสช.ในช่วงขวบปีสุดท้ายแห่งการอยู่ในอำนาจ
คณะกรรมการชื่อยาวที่ว่า คณะกรรมการบริหารราชการแผ่นดิน ตามกรอบการปฏิรูปประเทศ ยุทธศาสตร์ชาติ และการสร้างความสามัคคีปรองดองหรือป.ย.ป.คือความหวังของ พลเอกประยุทธ์ จันทร์โอชา และองคาพยพแม่น้ำ 5 สาย ในการที่จะทะลุทะลวงสร้างผลงานให้กับรัฐบาลคสช.ในช่วงขวบปีสุดท้ายแห่งการอยู่ในอำนาจ
ปุจฉาว่าด้วยทำไมอยู่มาตั้งนานเริ่มเพิ่งมาบรรลุธรรมในห้วงเวลาที่การบริหารอำนาจใกล้จะหมดไป สรรหาคำอธิบายมาอย่างไร ฝ่ายที่เชลียร์เชียร์ทุกเรื่องก็น้อมรับฟังโดยไม่หือไม่อือ ส่วนฝ่ายตรงข้ามจะด้วยอคติหรือมุมมองที่เป็นเหตุเป็นผล ย่อมมองด้วยความเคลือบแคลงว่า ยุทธวิธีรอบนี้ของคณะรัฐประหารย่อมหวังผลอย่างหนึ่งประการใดแน่นอน
ฟังคำอธิบายจาก พลเอกสุรพงษ์ สุวรรณอัตถ์ ผู้บัญชาการทหารสูงสุดถึงกระบวนการเคลื่อนแนวทางสร้างความปรองดองแล้ว นี่คือยุทธศาสตร์ที่วางกันมาอย่างเป็นขั้นเป็นตอน เป็นวิธีคิดแบบเสนาธิการ ซึ่งนั่นเหมาะกับการรุกรบ แต่เมื่อประยุกต์มาใช้กับการแก้ไขปัญหาทางการเมืองที่เต็มไปด้วยความขัดแย้งของฝ่ายต่างๆ ไม่รู้ว่าจะได้ผลขนาดไหน
ความสงบเรียบร้อยในมุมของคนทั่วไปนั้นคือ ทุกคนยินยอมพร้อมใจไม่ขัดแย้งแตกแยกด้วยความเต็มใจ ไม่ใช่ใช้อำนาจพิเศษกดทับให้สงบราบคาบ เพราะนั่นมันแค่แก้ไขที่ปลายเหตุ การที่หัวหน้าคสช.แถลงข่าวแล้วพูดปาวๆ ว่าตนเข้ามาแล้วทุกอย่างสงบเรียบร้อยหรือไม่ คงไม่มีใครเถียง ทว่าการหยุดนิ่งเหล่านั้นมันเกิดขึ้นเพราะอะไร ผู้มีอำนาจย่อมรู้อยู่แก่ใจ
หลักๆ ของปัญหามันคือกระบวนการบังคับใช้กฎหมายที่เป็นธรรม เท่าเทียม ไม่มีข้อครหาเรื่องสองมาตรฐาน เอาแค่คดีความของเหลืองของแดงและของกปปส. มาจนถึงนาทีนี้อยากลองให้บิ๊กตู่ส่งลูกน้องไปนั่งนับนิ้วดู คดีที่สู่กระบวนการและมีผู้ถูกลงโทษเอาผิด พวกไหนที่ถูกเล่นงานมากกว่ากัน กลุ่มไหนที่คดีความไม่คืบหน้า โดยการอ้างเหตุผลต่างๆ นานา
นั่นหมายความว่า การปรองดองสิ่งสำคัญมันอยู่ที่ใจไม่ใช่ปรองดองด้วยปาก เห็นความตั้งใจของท่านผู้นำและการย้ำแล้วย้ำอีกของ พลเอกประวิตร วงษ์สุวรรณ ชนิดเชื่อมั่นสุดๆ ว่าภายใน 1 เดือน 3 เดือนทุกอย่างจะมีความคืบหน้าและชัดเจน ภาวนาขอให้เป็นอย่างนั้น เห็นอาการของคนบางคนบางพวกแล้ว ไม่รู้ว่าดึงดังขึงขังเพราะจุดยืนตัวเองหรือเล่นแง่เพื่อหวังผลอย่างหนึ่งอย่างใดหรือเปล่า
ตามประสาพวกเอาแต่ได้ ถนัดสร้างราคาปั่นกระแสให้กับตัวเอง เมื่อบวกกับการใช้ลิ้นเชลียร์กับทุกย่างก้าวของรัฐบาลคสช.แล้ว ก็เกรงว่าท่านผู้นำจะหลงคารม จมปลักกับพวกที่โบกมือดักกวักมือเรียกให้ออกมารัฐประหาร ลำพังท่าทีที่ทำตัวเสมือนเป็นคู่ขัดแย้งเสียเองก็ลำบากแล้ว หากยังหูเบาเข้าพวกกับกลุ่มตั้งแง่ กลัวว่ามันจะไปกันใหญ่
ความเห็นของ พลเอกเอกชัย ศรีวิลาศ ผู้อำนวยการสำนักสันติวิธีและธรรมาภิบาล สถาบันพระปกเกล้า ในฐานะเลขานุการอนุกรรมาธิการรวบรวมข้อเสนอการแก้ปัญหาความขัดแย้ง ในกรรมาธิการขับเคลื่อนการปฏิรูปประเทศด้านการเมือง สปท. น่าสนใจเป็นอย่างยิ่ง และควรที่ผู้มีอำนาจต้องนำมาคิดทบทวน กับข้อคิดที่ว่าสาเหตุที่ทำให้ความปรองดองยังไม่เกิดขึ้น
เพราะผู้ที่ดำเนินการเรื่องนี้ ไม่อดทนต่อการรับฟังความคิดเห็นต่าง ไม่เปิดใจมุ่งมั่นทำให้สำเร็จ และดำเนินการไม่ต่อเนื่อง หากต้องการให้สำเร็จ ต้องทำอย่างจริงจัง อย่าอคติ อย่าเอาชื่อคนเป็นที่ตั้ง เพราะสุดท้ายจะไม่เห็นผล ไม่ต้องมองข้างหลัง แต่ให้ดูที่มีการเสนอว่าจะเคลื่อนอย่างไรให้สำเร็จและเปิดพื้นที่พูดคุยกัน
แน่นอนว่า การที่ให้ทหารเป็นแกนหลักในการสร้างความปรองดอง ต้องถามใจว่ามีความมุ่งมั่นหรือไม่ แต่สิ่งที่พลเอกเอกชัยเชื่อและเป็นเหมือนคนส่วนใหญ่ก็คือ คิดว่ารัฐบาลนี้จะสร้างความปรองดองสำเร็จ เพราะไม่มีรัฐบาลใด จะมีอำนาจสูงสุดเท่ารัฐบาลชุดนี้อีกแล้ว แต่จะใช้ทหารเป็นองค์ประกอบหลักในการแก้ไขปัญหาเรื่องความขัดแย้งไม่ได้ ต้องมีบุคคลหลากหลาย ต้องใช้ปัญญาและความรู้ ตรงนี้ถูกเผงที่สุด
ประเด็นว่าด้วยโรดแมปเลือกตั้ง เมื่อยังมีกระบวนการแก้ไขร่างรัฐธรรมนูญฉบับประชามติที่จะดำเนินการโดยคณะกรรมการกฤษฎีกาชุดพิเศษ ซึ่ง มีชัย ฤชุพันธุ์ นั่งเป็นประธาน แม้เจ้าตัวยืนยันว่า น่าจะใช้เวลาในการทำงานไม่เกิน 15 วัน แต่ดูจากอาการขององค์ประกอบที่เกี่ยวข้องแล้ว มีแนวโน้มว่าอย่างเร็วน่าจะไปหย่อนบัตรคืนประชาธิปไตยกันได้ในปีหน้าโน่น
การเลื่อนระยะเวลาออกไปไม่ใช่เรื่องแปลก เรื่องของแรงกระเพื่อมก็คงไม่เกิดขึ้น ลองได้มีป.ย.ป.มาประกอบอย่างนี้ ก็เท่ากับเป็นการแสดงเจตนาดีของผู้มีอำนาจว่า ไม่ได้ยื้อหรือดึงเวลาเพื่อจะอยู่ต่อแต่อย่างใด ดังนั้น จะเนิ่นช้าออกไปอีกไม่เท่าไหร่ก็เชื่อได้ว่า คงไม่มีความเคลื่อนไหวของฝ่ายหนึ่งพวกใดมาระคายผิวรัฐบาลคสช.
เป็นไปอย่างที่ สุธาชัย ยิ้มประเสริฐ ว่าไว้ โรดแมปเดิมของคสช.ที่เคยแถลงเมื่อหลังการรัฐประหาร กลายเป็นเรื่องที่เป็นตำนาน ไม่มีใครจะประเมินได้ว่า การดำเนินการที่จะให้มีการเลือกตั้งจะเกิดขึ้นเมื่อไร เพราะเป็นที่ทราบกันดีว่า แผนการที่จะให้มีการเลือกตั้งของคสช.นั้น มาจากการกดดันของโลกนานาชาติ ที่อยากเห็นสังคมไทยแก้ปัญหาด้วยการเลือกตั้งตามวิถีทางประชาธิปไตย
ปัญหาสำคัญอยู่ที่ว่า ชนชั้นนำไทยและอาจจะรวมถึงชนชั้นกลางในเมือง ไม่เคยเห็นว่าการเลือกตั้งตามระบอบประชาธิปไตยจะเป็นทางออกของประเทศ แต่กลับมีความวิตกเสมอว่า ประชาธิปไตยจะนำมาซึ่งความวุ่นวาย และจะนำมาสู่การบริหารประเทศของนักการเมืองทุจริต พร้อมทั้งนโยบายประชานิยม อันเป็นแนวคิดเดียวกันกับองคาพยพของคณะรัฐประหารชุดนี้
เมื่อสังคมภายใต้ระบบเผด็จการมีเสถียรภาพและมีการปฏิรูปอยู่แล้ว เราจึงได้เห็นกระบวนการใช้โพลเพื่อสร้างความชอบธรรมหรือหาข้ออ้างอื่นๆ ที่จะเลื่อนโรดแมปเลือกตั้งต่อไป และก็อยู่กันอย่างคืนความสุขให้ประชาชนอย่างนี้ นี่เป็นวิธีคิดแบบง่ายๆ บวกกับการใช้อำนาจเบ็ดเสร็จเด็ดขาด เมื่อชนชั้นนำเลือกที่จะสงบนิ่งเสียแล้ว เสียงวิพากษ์วิจารณ์ใดๆ ก็ไร้ความหมายที่จะสั่นคลอนผู้มีอำนาจ