LOXLEY ฟื้นตัวต่อสู่ปี 60
มีการวิเคราะห์กันว่า กำไรปกติ 2559 ของ LOXLEY น่าจะฟื้นตัวได้ โดยจะสามารถเติบโตรายได้ ICT ให้กลับมาที่ระดับใกล้เคียง 9 พันล้านบาทที่เคยทำได้อีกครั้ง เมื่อประกอบกับส่วนแบ่งจากบริษัทร่วมที่ยังแข็งแกร่ง ทำให้กำไรปกติน่าจะฟื้นตัวได้แรงตามนัด คาดจบปี 2559 อยู่ที่ 303 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 45% จากงวดเดียวกันของปีก่อน
–คุณค่าบริษัท–
มีการวิเคราะห์กันว่า กำไรปกติ 2559 ของ บริษัท ล็อกซเล่ย์ จำกัด (มหาชน) หรือ LOXLEY น่าจะฟื้นตัวได้ โดยจะสามารถเติบโตรายได้ ICT ให้กลับมาที่ระดับใกล้เคียง 9 พันล้านบาทที่เคยทำได้อีกครั้ง เมื่อประกอบกับส่วนแบ่งจากบริษัทร่วมที่ยังแข็งแกร่ง ทำให้กำไรปกติน่าจะฟื้นตัวได้แรงตามนัด คาดจบปี 2559 อยู่ที่ 303 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 45% จากงวดเดียวกันของปีก่อน
ทั้งนี้คาดปี 2560 กำไรปกติยังเติบโตได้ต่อเนื่องที่ 25% จากงวดเดียวกันของปีก่อน โดยเริ่มมีสัญญาณปรับโครงสร้างภายใน หลังจากมีการเปลี่ยนแปลง CEO มาเป็นผู้บริหารรุ่นที่ 4 โดยคาดหวังจะเห็น 1) การลดต้นทุนอย่างจริงจังผ่านการลดจำนวน projects ที่มีมากเกินไป (อยากจะเห็น focus ที่มากขึ้น) และการปรับตัวไปเป็น Holding ในอนาคตเพื่อ unlock asset จำนวนมากที่มีในมือ
นอกจากนี้ยังมีปัจจัยหนุน จาก 1) backlogs ของกลุ่ม ICT ที่ยังแข็งแกร่ง (มีในมือแล้ว ประมาณ 9 พันล้านบาท) น่าจะหนุนให้รายได้รวมของกลุ่มไม่ตกลง 2) โอกาสการประมูลงานที่น่าจะเข้ามาต่อเนื่องโดยเฉพาะในครึ่งแรกของปี 60 ยังสดใส หากชนะงานใหญ่ได้ ก็มีลุ้นที่จะเห็นรายได้โตต่อจากงวดเดียวกันของปีก่อน และ 3) ส่วนแบ่งกำไรจากบริษัทร่วมที่มียังมีแนวโน้มสดใส
ดังนั้น LOXLEY เป็นตัวแทนที่ดี และเป็นหุ้น trading ที่จะเด่นกว่า SI ตัวอื่นๆ ในปี 2560 โดยเฉพาะกับการลุ้นรถเมล์ไฟฟ้า และงาน broadband หมู่บ้านในช่วงครึ่งแรกของปี 60 ในขณะที่ภาพระยะกลาง ต้องจับตาดูผลงานของ CEO ท่านใหม่ ว่าจะลดต้นทุนจนทำให้ EBIT กลับมาเป็นบวกได้หรือไม่ หากทำได้จริงจะเป็นจุดผลิตสำคัญของกิจการ และต้องจับตาแผนการ spin-off ธุรกิจในเครือว่าจะทำได้เร็วขนาดไหน
ขณะที่ผลการดำเนินงานไตรมาส 3 สิ้นสุดวันที่ 30 กันยายน 2559 บริษัทมีรายได้รวมขยับขึ้นมาอยู่ที่ 3,528.77 ล้านบาท จากงวดเดียวกันของปีก่อน 3,041.78 ล้านบาท เป็นผลจากรายได้จากการขายและการให้บริการเพิ่มขึ้น แต่บริษัทมีกำไรเพียง 89.41 ล้านบาท หรือ 0.04 บาทต่อหุ้น จากงวดเดียวกันของปีก่อน 100.89 ล้านบาท หรือ 0.04 บาทต่อหุ้น
ส่วนผลการดำเนินงานงวดเก้าเดือน สิ้นสุดวันที่ 30 กันยายน 2559 บริษัทมีรายได้รวมขยับขึ้นมาอยู่ที่ 10,234.97 ล้านบาท จากงวดเดียวกันของปีก่อน 8,166.31 ล้านบาท ส่งผลให้บริษัทมีกำไรขยับขึ้นมาอยู่ที่ 275.41 ล้านบาท หรือ 0.12 บาทต่อหุ้น จากงวดเดียวกันของปีก่อน 134.26 ล้านบาท หรือ 0.06 บาทต่อหุ้น แสดงให้เห็นว่าผลประกอบการยังคงแข็งแกร่ง
เมื่อวิเคราะห์ฐานะทางการเงินเพื่อเป็นตัวแปรในการตัดสินใจต่อการลงทุน ก็พบว่า ฐานะทางการเงินของบริษัทยังดูดี เพราะบริษัทมีสินทรัพย์หมุนเวียนมากถึง 8,560.78 ล้านบาท เมื่อนำมาเทียบกับหนี้สินหมุนเวียนเพียง 6,223.88 ล้านบาท ได้ค่า CURRENT RATIO อยู่ที่ระดับ 1.38 เท่า แสดงว่า สภาพคล่องทางการเงินของบริษัทยังมีมากพอสมควร
ส่วนปัญหาหนี้สินของบริษัทถือว่ายังไม่น่าเป็นห่วง แม้ว่าบริษัทมีหนี้สินรวม 8,383.54 ล้านบาท เมื่อนำมาเทียบกับส่วนของผู้ถือหุ้น 6,641.27 ล้านบาท ได้ค่า D/E อยู่ที่ระดับ 1.27 บาท ถือว่า ปัญหาหนี้สินของบริษัทยังพอรับได้อีกทั้งบริษัทยังทำกำไรได้ต่อเนื่อง
สิ่งสำคัญทางนักวิเคราะห์ บล.เมย์แบงก์ กิมเอ็ง แนะนำซื้อเก็งกำไร ที่กรอบราคาเป้าหมายปี 2560 อยู่ที่ 4 บาท
…
ผู้ถือหุ้นรายใหญ่
1.บริษัท เอกภาวี จำกัด 584,158,113 หุ้น 25.79%
2.นายเกียรติชัย ลิมปิโชติพงษ์ 118,049,255 หุ้น 5.21%
3.บริษัท ไทยเอ็นวีดีอาร์ จำกัด 106,413,731 หุ้น 4.70%
4.นางจารุวรรณ วนาสิน 65,750,300 หุ้น 2.90%
5.นายไพโรจน์ ล่ำซำ 37,368,481 หุ้น 1.65%
รายชื่อกรรมการ
1.นาย ไพโรจน์ ล่ำซำ ประธานกรรมการ
2.นาย ธงชัย ล่ำซำ ประธานกรรมการบริหาร
3.นาย ธงชัย ล่ำซำ กรรมการผู้จัดการ
4.นาย ธงชัย ล่ำซำ กรรมการ
5.นาย สุกิจ หวั่งหลี รองประธานกรรมการ