พาราสาวะถี อรชุน

บทสัมภาษณ์ของ พลเอกประยุทธ์ จันทร์โอชา ล่าสุดที่บอกว่าเปิดดูคู่มือโหราศาสตร์ปี 2560 ประเทศไทยปีนี้เป็นปีแห่งการเปิดเผยข้อเท็จจริง ก่อนจะตบท้ายว่า หมอดูเขาบอกไว้แล้ว โหราศาสตร์อย่าลบหลู่ พิจารณาจากภาพถ่ายที่ปรากฏและท่วงทำนองในอดีต เชื่ออย่างสนิทใจว่า ท่านผู้นำชื่นชอบเรื่องแบบนี้เป็นชีวิตจิตใจ


บทสัมภาษณ์ของ พลเอกประยุทธ์ จันทร์โอชา ล่าสุดที่บอกว่าเปิดดูคู่มือโหราศาสตร์ปี 2560 ประเทศไทยปีนี้เป็นปีแห่งการเปิดเผยข้อเท็จจริง ก่อนจะตบท้ายว่า หมอดูเขาบอกไว้แล้ว โหราศาสตร์อย่าลบหลู่ พิจารณาจากภาพถ่ายที่ปรากฏและท่วงทำนองในอดีต เชื่ออย่างสนิทใจว่า ท่านผู้นำชื่นชอบเรื่องแบบนี้เป็นชีวิตจิตใจ

มิเช่นนั้น คงไม่ปรากฏภาพพร้อมกัน 3 พี่น้องทั้ง พลเอกประวิตร วงษ์สุวรรณ และ พลเอกอนุพงษ์ เผ่าจินดา ไปหมอบราบกราบกรานให้พระบางรูปเจิมหน้าผาก ซึ่งพระรายนี้คนสงสัยกันทั้งเมือง ทำไมชอบไปยุ่งกับเรื่องการเมืองที่ไม่ใช่กิจของสงฆ์ นั่นเป็นเพราะพี่ใหญ่เคยได้รับคำทำนายทายทักว่าจะยิ่งใหญ่หากไม่แต่งเมียและก็เป็นเช่นนั้นจริงๆ จึงทำให้หลงใหลกันหัวปักหัวปำ

ไม่เพียงเท่านั้นโหรฤาษีที่ตกเป็นที่โจษจันกันนับตั้งแต่คณะคมช.ของ พลเอกสนธิ บุญยรัตกลิน มาถึงยุคนี้ก็ยังมีพลังจากโทรจิตที่สื่อสารไปยังเทือกเขาเทวาลัน ถึงกับคาดการณ์ว่าบิ๊กตู่จะอยู่บริหารประเทศชนิดรากงอก และแนวโน้มก็ดูท่าว่าจะเป็นเช่นนั้น ด้วยเหตุนี้การที่ท่านผู้นำพูดถึงเรื่องโหราศาสตร์คนจึงเชื่อแบบสนิทใจว่าท่านเชื่อของท่านแบบนั้นจริงๆ

แต่ก็เหมือนที่ท่านว่านั่นแหละ ปีนี้เป็นปีแห่งคนไม่ดีที่จะต้องถูกอะไรก็แล้วแต่ เพราะฉะนั้นให้ทำตัวเป็นคนดี มีคุณธรรม อยู่ในศีลธรรมอันดี ทำงานเพื่อประเทศชาติ ช่วยกันไม่โกงกิน ไม่ทุจริต มันอยู่ได้ เพียงแต่ว่า บางรายที่อยู่ร่วมคณะกับท่านซึ่งปรากฏว่าเงินหลวงไปงอกในบัญชีเมีย ท่านไม่คิดจะสงสัยหรือตรวจสอบให้สังคมได้รับความกระจ่างบ้างหรือ

อย่าเที่ยวไปผลักภาระว่าเป็นหน้าที่ขององค์กรที่เกี่ยวข้องอย่างเช่นป.ป.ช. เพราะเห็นอาการเงื้อง่าราคาแพงแล้ว คนทั่วไปเขาก็อ่านออกแม้จะได้ชื่อว่าเป็นองค์กรอิสระแต่การทำงานกลับตรงข้าม ออกลูกเกรงใจผู้มีอำนาจโดยเฉพาะอำนาจแบบเบ็ดเสร็จเด็ดขาดเป็นอย่างมาก แล้วจะกล้าไปตรวจสอบบุคคลใกล้ชิดผู้มีอำนาจอย่างนั้นหรือ

คงไม่ต่างจากเรื่องปรองดองที่มีคนบอกว่าต้องทำด้วยใจนั่นแหละ การตรวจสอบการทุจริตยิ่งเป็นคนใกล้ชิดหรือญาติพี่น้อง หากท่านผู้นำกล้าที่จะทำให้โปร่งใส อธิบายความให้สังคมได้รับทราบชนิดหายคลางแคลงใจ นั่นแหละเขาถึงจะเรียกว่ารัฐบุรุษ เพราะไม่เว้นแม้กระทั่งญาติโกโหติกา ถือความสุจริตเป็นที่ตั้งมากกว่าคำว่า ภาพลักษณ์ชื่อเสียงของวงศ์ตระกูล

มีอีกหลายเรื่องที่ถูกเหยียบทับไว้และไม่มีใครกล้าไปขุดคุ้ยด้วยสาเหตุที่รู้กันอยู่ แต่ของพรรค์นี้ในยามที่ไร้อำนาจแล้ว หากมีการเปิดโปงในภายหลังมันจะสร้างตราบาปให้กับคนคนนั้นและวงศ์ตระกูลไปตราบนานแสนนาน คงไม่ต้องสาธยายว่ามีประเด็นอะไรบ้างที่สังคมยังสงสัย นับตั้งแต่ไมโครโฟนทองคำ มาจนถึงลูกหลานไปใช้ค่ายทหารเป็นที่ตั้งบริษัท หากินกับการประมูลงานของกองทัพ เหล่านี้ไร้ซึ่งคำชี้แจงที่ตรงไปตรงมา เพียงแต่อาศัยเวลาให้คนลืมก็เท่านั้น

สิ่งที่มันเป็นความขัดแย้งต่อการพยายามอธิบายของท่านผู้นำอีกประการ ก็คือกรณีองค์กรเพื่อความโปร่งใสนานาชาติหรือทีไอ เปิดเผยดัชนีภาพลักษณ์คอร์รัปชั่นหรือซีพีไอ ของไทยในปี 2559 อยู่อันดับที่ 101 ได้ 35 คะแนนว่า ต้องดูว่าต่ำลงเรื่องอะไรบ้าง เพราะบางอันก็สูงขึ้น บางอันก็ต่ำลง จึงต้องไปดูว่าที่ต่ำลงเพราะอะไร แล้วอะไรดีขึ้น ไม่ใช่มันแย่ลงทั้งหมด

การที่ท่านบอกว่าอย่าลืมทุกอย่างเกิดขึ้นในอดีต ทั้งที่ความจริงการประเมินขององค์กรเหล่านั้นเขาใช้ข้อมูล ณ ปัจจุบัน หรือหากจะย้อนหลังไปก็แค่ปีเดียว เหมือนอย่างเช่นดัชนีปี 2559 ถ้าจะเก็บข้อมูลก็ในปี 2558 ถามว่าอยู่ในยุคสมัยใด  เหล่านี้คือความจริงที่อย่าไปบิดเบือน บางเรื่องการยืดอกยอมรับยังจะได้รับเสียงชื่นชมเสียมากกว่า

ยิ่งการที่มีคำอธิบายว่าไม่เคยไปห้ามใครตรวจสอบอะไร กรณีการที่ทหารจับกุมตัว จตุพร พรหมพันธุ์ และ ณัฐวุฒิ ใสยเกื้อ และตามมาด้วยกลุ่มนักศึกษาที่นั่งไฟรถไปตรวจสอบการโกงที่อุทยานราชภักดิ์ เป็นภาพย้อนแย้งต่อคำพูดของท่านผู้นำในเรื่องนี้ได้เป็นอย่างดี ทั้งๆ ที่หลังกระบวนการตรวจสอบขององค์กรเกี่ยวข้องที่ท่านว่า ไม่พบความผิดปกติ แล้วทำไมจะต้องไปกระทำพฤติกรรมเหมือนกลัวจะถูกจับผิดให้สังคมเห็น

ถนนสายปรองดองภายใต้คณะกรรมการป.ย.ป.ของรัฐบาล จากแรกเริ่มเดิมทีมีบางคนออกมาปฏิเสธ ก่อนจะมากลับลำกันภายหลัง ก็อย่างที่บอกแค่ปั่นกระแส สร้างราคา มันไม่มีอะไรที่จะต้องมาปกปิดกันอีกแล้ว คนเข้ารู้กันไปทั้งประเทศระหว่างหัวหน้าม็อบชัตดาวน์กับท่านผู้นำนั้นสนิทชิดเชื้อกันมากเพียงใด สิ่งที่ปรากฏต่อสาธารณะ เพียงแค่แบ่งบทกันเล่นให้คนดูเนียนตาเท่านั้นเอง

เหมือนอย่างการพยายามพูดถึงเรื่องกระบวนการยุติธรรมและการบังคับใช้กฎหมาย มันเห็นได้ชัดเจนว่าการดำเนินการนั้นมันเท่าเทียมและเป็นธรรมอย่างแท้จริงหรือไม่ ยิ่งไปพูดถึงการตั้งคณะกรรมการตรวจสอบอะไรเทือกนั้น สิ่งที่ท่านผู้นำพยายามสื่อก็คงจะหมายถึง ทักษิณ ชินวัตร กับคตส.ในยุคของเผด็จการคมช.

ผลของการตัดสินโดยศาลนั้นถือเป็นความชอบธรรมอย่างแน่นอน เพียงแต่ว่าที่ถูกวิจารณ์คือ คณะกรรมการในคตส.ถือเป็นบุคคลที่วางตัวเป็นกลางและไม่เป็นปฏิปักษ์กับผู้ถูกกล่าวหาใช่หรือไม่ ซึ่งมันชัดเจนว่าไม่ใช่ นี่ต่างหากคือความชอบธรรมและส่งผลต่อความน่าเชื่อถือของกระบวนการยุติธรรมตั้งต้น ที่ย้ำมาโดยตลอดว่า มันคือปัญหาและสร้างความขัดแย้งแตกแยกไม่รู้จบ

คสช.เองก็ยอมรับในเรื่องนี้ มิเช่นนั้น คงไม่เกิดประกาศคสช.ที่ 63/2557 ที่ระบุว่าการทำหน้าที่ของหน่วยงานที่เกี่ยวข้องกับกระบวนการยุติธรรม อาจก่อให้เกิดความเข้าใจผิดหรือคลาดเคลื่อนเกี่ยวกับการทำหน้าที่ของหน่วยงานที่เกี่ยวข้องกับกระบวนการยุติธรรมว่ามีการเลือกปฏิบัติที่ไม่เป็นธรรม ซึ่งทำให้ปัญหาความขัดแย้งและความแตกแยกในสังคมเกิดขึ้นและอาจมีเพิ่มมากขึ้นต่อไปในอนาคต คำถามก็คือ เวลาผ่านมาเกือบ 3 ปี ปัญหานี้ได้รับการแก้ไขแล้วหรือยัง หรือว่าหนักข้อกว่าเดิม

Back to top button