กล้าๆ กลัวๆ โมนิก้าและทีมงาน

*ข้อมูลที่ “โมนิก้า” อยากจะเม้าท์มากสุดเวลานี้คงเป็นความหยุ่งเหยิงของสารพันข่าวสารที่ถาโถมเข้ามาในแต่ละวัน มันทำให้นักลงทุนรู้สึกหวาดกลัวกันไปทั่วสารทิศ จนเกิดอาการไล่ซื้อหุ้นไม่สุดซอย และเทขายหุ้นแบบแทงกั๊กตลอดเวลา มันสะท้อนถึงความเปราะบางของตลาดหุ้นไทยได้ดีสุด ส่งผลให้การเคลื่อนตัวของดัชนีเป็นในลักษณะ w-shape ไงล่ะค่ะ


*ข้อมูลที่ “โมนิก้า” อยากจะเม้าท์มากสุดเวลานี้คงเป็นความหยุ่งเหยิงของสารพันข่าวสารที่ถาโถมเข้ามาในแต่ละวัน มันทำให้นักลงทุนรู้สึกหวาดกลัวกันไปทั่วสารทิศ จนเกิดอาการไล่ซื้อหุ้นไม่สุดซอย และเทขายหุ้นแบบแทงกั๊กตลอดเวลา มันสะท้อนถึงความเปราะบางของตลาดหุ้นไทยได้ดีสุด ส่งผลให้การเคลื่อนตัวของดัชนีเป็นในลักษณะ w-shape ไงล่ะค่ะ

*เมื่อสถานการณ์ออกในรูปดังกล่าวก็ตีความได้ในทันทีว่า ดัชนีน่าจะทะยานขึ้นไปทดสอบ 1,600 จุดอีกรอบ โดยได้แรงหนุนจากบรรดากองทุนตัวแสบอีกเช่นเคย และหุ้นบลูชิพคงกลับมาโลดแล่นบนกระดาน most activeกันอีกรอบ เพียงแต่เที่ยวนี้จะเป็นการสลับกันซื้อขายไปเรื่อยๆ ส่งผลให้การเข้าลงทุนแบบเข้าทำเร็วเป็นเกมที่นักเล่นต้องท่องให้ขึ้นใจนะจะบอกให้

*เนื่องจากดัชนีขึ้นมาปิดที่ 1,589.13 จุด บวกไป 6.18 จุด ด้วยมูลค่า 5.56 หมื่นล้านบาท พร้อมกับปรากฏไส้แท่งเทียนทั้งด้านบนด้านล่าง “โมนิก้า” มองเป็นความพยายามแบบสุดลิ่มทิ่มประตูที่จะทำให้ดัชนีเดินหน้าต่อ แต่เมื่อเหลือบดูปัจจัยต่างๆ ที่ปรากฏให้เห็นทนโท่ในเวลานี้ มันมีแต่เรื่องที่ทำให้หนักใจไม่ใช่น้อย จึงต้องมองเหตุการณ์ดังกล่าวเป็นช็อตต่อช็อตเจ้าค่ะ

*เหมือนกับเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นกับ AOT มีทั้งข่าวบวกข่าวลบในเวลาเดียวกัน มันทำให้นักเล่นต้องสาดหุ้นออกมาก่อน เพราะมองไม่เห็นตัวแปรที่จะทำให้หุ้นขยับขึ้นไปอีก วานนี้ถึงเห็นหุ้นอ่อนตัวลงมายืนอยู่ที่ 414 บาท ลบไป 2 บาท ด้วยมูลค่า 2.61 พันล้านบาท “โมนิก้า” ถึงต้องถามผู้เล่นว่า ระหว่างเรื่อง เทรดพาร์ใหม่ กับ พนักงานประท้วง วันนี้ประเด็นไหนมีน้ำหนักกว่ากัน..อิอิอิ

*เม้าถึงเรื่องที่ต้องเลือก “โมนิก้า” อยากให้แฟนคลับลองไปพิจารณาหุ้น INTUCH ยังมีคุณสมบัติน่าซื้อลงทุนอีกไหม? หลังบริษัทลูกที่เคยเลี้ยงดูบริษัทแม่เป็นอย่างดี ทำกำไรลดลงอย่างฮวบฮาบ หรือจะหมดเวลาของแมวอ้วนเสียแล้วจริงๆ ประเด็นเหล่านี้เป็นเรื่องที่ต้องติดตามเป็นพิเศษ แถมวานนี้หุ้นพุ่งขึ้นมาปิดที่ 53.50 บาท บวกไป 0.25 บาท ด้วยมูลค่า 800 ล้านบาท มันเป็นเรื่องที่ต้องคิดหนักเหลือเกินเจ้าค่ะ

*ประเด็นดังกล่าวเชื่อมโยงโดยตรงกับ ADVANC เนื่องจากตีความได้ว่า โอกาสที่บริษัทจะเติบโตอย่างต่อเนื่องไม่ง่ายอีกต่อไป ไม่ว่าจะเป็นจำนวนเบอร์โทรศัพท์ที่เริ่มขายไม่ออก หรือแม้กระทั่งค่าโทรศัพท์ที่ถูกลงกว่าเมื่อก่อน “โมนิก้า” มองเป็นตัวแปรที่ทำให้ชีวิตของหุ้นตัวนี้ลำบากขึ้นเป็นกอง และการที่หุ้นวิ่งขึ้นมาปิดที่ 161.50 บาท บวกไป 1 บาท มันไม่มีนัยสำหรับการลงทุนในปี 60 เลยพับผ่าซิ..ไม่เชื่อลองดูกันไปเรื่อยๆ นะคะ

*อีกหนึ่งรายที่ตกอยู่ในที่นั่งลำบากอย่าง EA ถูกข่าวสารเล่นงานจนสะบักสะบอม ทั้งที่หลายคนรู้อยู่แก่ใจว่า  มีคนพยายามบิดเบือนข้อมูลบางอย่างนั้น “โมนิก้า” มองเป็นเรื่องที่ต้องใช้เวลาเยียวยาแผลให้หายสนิท เพราะตอนนี้อธิบายอะไรออกไป บรรดาผู้เล่นแกนหลักก็คงไม่สนใจอยู่ดี วานนี้ถึงเห็นรายการทุบหนักอีกรอบ หุ้นก็เลยร่วงลงมาปิดที่ 23.20 บาท ลบไป 3.30 บาท หรือลงไป 12.45% ด้วยมูลค่า 1.41 พันล้านบาท มันเป็นโอกาสสำหรับคนที่มีเงินเย็นเจ้าค่ะ

*ส่วนในรายของหุ้นใหญ่ใจปลาซิว SGF กลายเป็นมหาสงครามของนักลงทุนรายใหญ่ที่สาดขี้ใส่กันอย่างสนุกสนาน ซึ่งเดี๊ยนไม่อยากเข้าไปยุ่งเกี่ยวสักเท่าไหร่ เพราะมีแต่เปลืองตัวมากขึ้นเรื่อยๆ แต่ที่ต้องออกมาพูดก็เพราะ เสี่ย ป. ได้เผยให้เห็นธาตุแท้ของนักลงทุนรายใหญ่ มันมีแต่คำว่า กำไร..กำไร..แล้วก็กำไร วานนี้หุ้นถึงรูดลงมาปิดที่ 0.39 บาท ลบไป 0.06 บาท หรือลงไป 13.33%  ด้วยมูลค่า 358 ล้านบาท เดี๊ยนรู้สึกเห็นใจแมงเม่าเหลือเกินพะยะคะ

*เหมือนกับในรายของ AU กลับมาไล่ราคากันอย่างสุดฤทธิ์สุดเดชอีกครั้ง จนหุ้นวิ่งขึ้นมาปิดที่ 13.10 บาท บวกไป 0.70 บาท หรือขึ้นไป 5.65% ด้วยมูลค่า 214 ล้านบาท มันเป็นการซื้อขายบนค่า P/E 94 เท่า ซึ่งเป็นระดับที่สูงเกินไปอย่างแน่นอน “โมนิก้า” ถึงสงสัยเหลือเกินว่า  วันนี้เล่นกันบนพื้นฐานหรือเปล่า? หรือต้องการเอาแค่สนุกสนาน? ใครพอรู้บ้าง..ช่วยตอบหน่อยค่ะ

*สำหรับรายที่รู้แน่อย่าง TASCO ถูกดันขึ้นมาปิดที่ 24.90 บาท บวกไป 1.70 บาท หรือขึ้นไป 7.30% ด้วยมูลค่า 2 พันล้านบาท “โมนิก้า” มองเป็นการฟอร์มตัวรอบใหม่ หลังเส้นสัญญาณเทคนิค 10 วัน กับ 25 วัน มาบรรจบกับเส้น 200 วัน โดยทั้งสามเส้นกำลังผงกหัวขึ้นอย่างพร้อมเพรียง จึงเป็นจังหวะของการไหลตามน้ำอย่างแน่นอนแบบนี้ ก็น่าตามไปดูเช่นกันจ้า!

*ส่วนในรายของ GL กระชากขึ้นแบบไม่พูดพร่ำทำเพลง ก่อนจะลงเอ่ที่ระดับ 64 บาท บวกไป 3.75 บาท หรือขึ้นไป 6.20% ด้วยมูลค่า 800 ล้านบาท มันเป็นอารมณ์ของนักเก็งกำไรแบบสุดโต่ง หลังระดับราคาที่เทรดตอนนี้อยู่ที่ P/E 98 เท่า ซึ่งมันถอดรหัสได้ว่า บริษัทต้องทำกำไรในปี 59 ถึงระดับ 1,400 ล้านบาท เพื่อทำให้กำไรต่อหุ้นขึ้นไปอยู่ที่ระดับ 1 บาท ค่าพีอีก็จะลดลงมาในระดับหนึ่งนั้น มันเป็นเรื่องที่มโนล้วนๆ ของจริงต้องดูกันเอาเองนะคะ

*ป.ล.ขอย้ำอีกครั้งว่า การเล่นหุ้นเที่ยวนี้ยังเป็นลักษณะ “ขึ้นขาย ลงซื้อ” เพราะปัจจัยไม่เอื้อให้ถือลงทุน จึงอย่าฝืนธรรมชาติ เพราะมันไม่ก่อประโยชน์อะไรทั้งสิ้นเจ้าค่ะ

Back to top button