สังคมข่าวหุ้นนิวส์เวฟ

ตลาดหุ้นไทยล่าสุดปิดการซื้อขายที่ระดับ 1,589.29 จุด ปรับเพิ่มขึ้น 6.77 จุด พ่วงด้วยมูลค่าการซื้อขายรวม 5.9 หมื่นล้านบาท


ตลาดหุ้นไทยล่าสุดปิดการซื้อขายที่ระดับ 1,589.29 จุด ปรับเพิ่มขึ้น 6.77 จุด พ่วงด้วยมูลค่าการซื้อขายรวม 5.9 หมื่นล้านบาท

* เมื่อวานพี่ SET ปิดการซื้อขายด้วยในแดนบวก หลังจากได้แรงหนุนตัวหุ้นบลูชิพหลายหลักทรัพย์ที่วิ่งคึกแรง

* โดยกลุ่มเข้าซื้อสุทธิทางสถาบันเก็บเยอะสุด 915 ล้านบาท ตามด้วยต่างชาติ 541 ล้านบาท และบัญชีบริษัทหลักทรัพย์ 472 ล้านบาท ขณะที่ฝั่งเทขายพี่รายย่อยสาดออกกระจุย 1,929 ล้านบาท

* วันนี้มีหุ้นเด่นน่าจับตาหลายบริษัท ถ้าเอาที่ร้อนแรงสุดของวันนี้ ยังไงหนีไม่พ้นกรณีหุ้น AOT แน่นอน 100% * หุ้น AOT วันนี้ได้คิวเทรดกันด้วยพาร์ใหม่ 1 บาท เป็นครั้งแรก และถือเป็นหุ้นตัวแรกของรัฐวิสาหกิจใช้กลยุทธ์แตกพาร์เพิ่มสภาพคล่องหุ้น

* เมื่อวานขนาดเทรดพาร์ 10 บาท ยังซัดมูลค่าการซื้อไปท่วมท้นถึง 4 พันล้านบาท เปลี่ยนเป็นพาร์ใหม่ วอลุ่มย่อมร้อนแรงต่อเนื่อง

* หลายคนสงสัยแค่แตกพาร์ พื้นฐานไม่เปลี่ยน ทำไมถึงเป็นข่าวดีต่อ AOT นัก

* ดังนั้น นิวส์เวฟ จึงขออธิบายกันให้ฟังว่า AOT เป็นหุ้นพื้นฐานแกร่งที่ทุกคนหมายปอง เพราะมีฐานะเป็นทั้งขาใหญ่ใหญ่ธุรกิจสนามบินไทย กำไรโตทุกปี ปันผลจ่ายต่อเนื่องไม่ขาดมือ

* แต่ที่ผ่านมาติดปัญหาเดียวอยู่เรื่องเดียวคือราคาหุ้นนั่นแหละที่สูงลิบหลักร้อยบาท

* คิดง่ายๆ จะซื้อ 100 หุ้น ถ้าพาร์เดิม 10 บาท ราคาหุ้น 420 บาท เท่าใช้เงินตั้ง 42,000 บาท

* แต่พอปรับเป็นพาร์ 1 บาท ลงมาเหลือ 42 บาท ซื้อ 100 หุ้น เท่ากับใช้เงินแค่ 4,200 บาท นั่นหมายความว่า AOT จะมีนักลงทุนรายใหม่ๆ ที่พร้อมเข้ามาร่วมเป็นผู้ถือหุ้นมากขึ้น

* ซึ่งผลที่ตามมาสภาพคล่องหุ้นจะดีกว่าเดิม ซื้อง่ายขายคล่อง และสุดท้ายจะกลายเป็นปัจจัยช่วยหนุนราคาหุ้นในกระดานนั่นเอง

* หุ้น IRPC ได้คว้าข่าวดีชิ้นใหญ่ ถือเป็นเรื่องเซอร์ไพรส์ไม่เบา

* เพราะล่าสุดทาง ฟิทช์ เรทติ้งส์ ออกมาอัพเกรดแนวโน้มเครดิต

* โดยปรับขึ้นเป็น “เสถียรภาพ” ย้ำอีกครั้งเป็น “เสถียรภาพ” จากเดิมอยู่ในระดับลบ

* นี่ถือเป็นเรื่องใหญ่ไม่เบานะ เพราะการได้ยกระดับขึ้นเป็น  “เสถียรภาพ” ถือเป็นการอัพเกรดภาพลักษณ์บริษัท และส่งผลดีต่อราคาหุ้นขึ้นอีกโข

* สิ่งที่ ฟิทช์ เรทติ้งส์ ให้น้ำหนัก คือ การที่บริษัทสามารถเดินหน้าโครงการสำคัญ UHV ได้ตามแผนที่วางไว้

* เพราะจะส่งผลดีให้ GIM ของบริษัทเพิ่มขึ้นได้อีกเพียบ

* แถมในเบื้องต้นยังมองจะมีศักยภาพทำ EBITDA ยืนพื้นขั้นต่ำระดับ 1.5 หมื่นล้านบาทต่อปี จึงเหมือนเป็นการล็อกโอกาสเติบโตต่อเนื่อง

* ดังนั้น ราคาเป้าหมาย 6 บาท ที่โบรกฯ เขาวางไว้จึงไม่ได้ดูเว่อร์วังเกินไปเมื่อเทียบพื้นฐานบริษัทที่กำลังอยู่ในช่วงขาขึ้น

* หุ้นเล็กฝากไว้ให้พิจารณาคือตัว PJW หรือ ปัญจวัฒนาพลาสติก

* ชอบในความเป็นหุ้นที่กลับมาเติบโตเทิร์นอะราวด์โดดเด่น

* โดยเฉพาะตัวงบปี 59 ที่จะฟันกำไรเติบโตดี สะท้อนได้จากงวด 9 เดือน ที่โชว์กำไรไปแล้วถึง 124 ล้านบาท

* ที่น่าจับตาคืออัตราทำกำไรสุทธิพุ่งสูงทะยานไปเฉียด 20% เข้าปี 60 ก็ยังโดดเด่นได้ต่อเนื่อง

* ล่าสุด ปิดการซื้อขายที่ 3.46 บาท จังหวะหุ้นลงมาย่อตัวแบบนี้น่าสนใจเข้าเก็บไม่เบานะ ฝากไว้ให้พิจารณากันดู

* ปิดท้ายกันที่หุ้น BEAUTY ไม่สมเหตุสมผลเสียเลยที่ราคาหุ้นในช่วงรอบเดือนกว่าลดลงแรงไปแล้วถึงเกือบ 15%

* เหตุผลมีเพียงเรื่องเดียว คือ โบรกฯ ได้ออกมาปรับลดประมาณการณ์ลง เพราะหวั่นงบไตรมาส 4/59 อาจไม่โตอย่างที่เคยมองไว้

* พอเปิดดูเนื้อในการวิเคราะห์เข้าไป ปรากฏว่าภาพรวมงบ Q4 แค่ลดลงแบบเทียบรายไตรมาส แต่ถ้าเทียบปีก่อนฟันกำไรโตขึ้นร่วม 30-40%

* ส่งผลให้ภาพรวมปี 59 มีโอกาสฟาดกำไรสุทธิทะลุ 600 ล้านบาท โตก้าวกระโดดจากปี 58 ที่กำไรสุทธิ 400 ล้านบาท

* ถึงได้บอกเลยว่า ราคาหุ้นที่ลดลงจึงไม่สมเหตุผลแม้แต่นิดเดียว

* ขณะที่ “หมอสุวิน ไกรภูเบศ” ในฐานะผู้บริหาร ยังออกปากย้ำเพิ่มเลยว่า * พื้นฐานแกร่งเหมือนเดิมและโตได้ตามเป้าหมายแน่นอน สำหรับปี 60 เบื้องต้นวางเป้าหมายฟันรายได้เพิ่มอีก 20%

* งานนี้ถ้าไม่ดีจริง ทำไมนักลงทุนสถาบันไทยหรือต่างชาติจึงยังคงรุมล้อมให้ความสนใจอยากคุยผู้บริหารไม่เลิก

* หรือสุดท้ายเป็นเพียงเพราะมือมืดอยากทุบหุ้นเอาของราคาถูก เลยหาเรื่องมากดดันเท่านั้นเอง แหม น่าสงสัยจริงๆ

Back to top button