พาราสาวะถี อรชุน

ทำท่าว่าจะลื่นไหลไร้อาการสะดุด กับสุดยอดวิชาวันวาเลนไทน์ ภายใต้การบัญชาของ พลเอกประวิตร วงษ์สุวรรณ ที่เริ่มต้นเชิญพรรคการเมืองมาหารือกับ 10 กรอบขอความเห็นสร้างความปรองดองให้บ้านเมือง โดยบิ๊กป้อมย้ำหนักแน่นทุกพรรคไม่มีการปฏิเสธ ด้วยเหตุผลคนไทยมีหัวใจเดียวกัน ต้องดำเนินการตามกระแสพระราชดำรัสให้รู้รักสามัคคี เราต้องเดินให้ได้


                ทำท่าว่าจะลื่นไหลไร้อาการสะดุด กับสุดยอดวิชาวันวาเลนไทน์ ภายใต้การบัญชาของ พลเอกประวิตร วงษ์สุวรรณ ที่เริ่มต้นเชิญพรรคการเมืองมาหารือกับ 10 กรอบขอความเห็นสร้างความปรองดองให้บ้านเมือง โดยบิ๊กป้อมย้ำหนักแน่นทุกพรรคไม่มีการปฏิเสธ ด้วยเหตุผลคนไทยมีหัวใจเดียวกัน ต้องดำเนินการตามกระแสพระราชดำรัสให้รู้รักสามัคคี เราต้องเดินให้ได้

                แต่หลายคนอาจจะไม่เข้าใจ เพราะท่าทีของ พลเอกประยุทธ์ จันทร์โอชา ที่ตอนแรกก็พูดเรื่องธรรมะธัมโม มีหิริโอตตัปปะ แต่สุดท้ายก็ไม่วายว้ากใส่นักข่าว อยากให้ใช้โอกาสนี้ในการรับฟังว่าข้อสรุปของแต่ละคณะเขาว่าอย่างไร โดยเฉพาะคณะปรองดอง ซึ่งไม่ใช่มีแค่นักการเมือง สื่อหลายสื่อมัวแต่นั่งมองเอาแต่ประเด็นความขัดแย้ง เรื่องการเมือง นิรโทษกรรม ทั้งที่ตัวเองยังไม่เคยพูดเรื่องนี้

                อย่าไปหวาดระแวงตรงนั้น ถ้าตกลงเกี้ยเซี้ยอย่างที่ว่ามันทำได้ไหม สื่อยอมเหรอ ใครยอม ไม่รู้แต่ขอให้ได้วิพากษ์วิจารณ์ไปด้วย สิ่งที่น่าสนใจซึ่งหลายฝ่ายได้ย้ำกันมาตลอด หากจะปรองดองต้องไม่มีเลือกข้างแบ่งฝ่าย แต่วันนี้ท่านผู้นำถามสื่อว่า ฝ่ายการเมืองบอกถ้าไม่พูดเรื่องนิรโทษกรรมปรองดองไม่ได้ คิดว่าจะช่วยใคร จะอยู่ข้างใคร ถ้าจะอยู่ข้างฝ่ายที่พูดแบบนั้นตนก็จนใจ ประเทศไทยก็อยู่แบบนี้ไปเรื่อยๆ จนกว่ามันจะไม่มีประเทศอยู่ ในการทำงานตนมีเหตุผลทุกประการ

                นี่ขนาดมีเหตุผลแต่สงสัยท่านขาดอยู่อย่างเดียวคือสติ เพราะหลังจากนั้นก็โวยสื่อต่อ อย่าไปเป็นปากเป็นเสียงให้กับคนที่ไม่ได้หวังดีกับชาติบ้านเมืองได้ไหม ขอสื่อแค่นี้ ถ้าทำได้คงไม่ต้องไปคิดกฎหมายอะไรออกมา และสื่อคุมกันได้หรือไม่ ไปหาวิธีการมา เสนอมา ไม่เสนอจะคุมกันเองแต่คุมไม่ได้ พอมีปัญหาขึ้นมารัฐบาลรับผิดชอบอีก วันหน้าก็ไล่รัฐบาลอีก ทหารก็ออกมาควบคุมอำนาจอีก มันก็วนอยู่แค่นี้

                ฟังที่ท่านพูดก็ดูเหมือนจะเข้าใจทุกสิ่งอย่าง แต่คงลืมไปว่าวิกฤติที่ทำให้ทหารออกมากับการรัฐประหารของคมช.ถึงคสช. ถามย้ำมาตลอดเป็นวิกฤติแท้หรือเทียม ทุกอย่างเป็นไปตามธรรมชาติหรือจัดฉาก สร้างขึ้นมาแบบมีเบื้องหลัง นี่คือความจริงอีกประการหากจะสร้างความปรองดองแล้วมองข้ามเรื่องนี้คงยากที่จะจับมือสมานสามัคคีกันได้

                กลายเป็นว่าหลายคนพอได้ฟังท่านผู้นำพูดคำว่าหิริโอตตัปปะ ดูแล้วเข้าท่าแต่พอหลุดคำด่าทอ แสดงความโมโหออกมาแบบไม่ยั้ง ทุกอย่างมันก็วนเข้าอีหรอบเดิมเหมือนหลายๆ เรื่องที่ท่านพล่ามบ่นอยู่นั่นแหละ ต้องเงี่ยหูฟัง สมบัติ บุญงามอนงค์ แกนนอนกลุ่มวันอาทิตย์สีแดงที่ไปพูดบนเวทีก้าวผ่านวันวาน สมานรัก วาเลนไทน์ เพื่อถกข้อเสนอปรองดองแบบเสริมสร้าง สังคม สันติสุข  จัดโดยหลักสูตรการเสริมสร้างสังคมสันติสุข รุ่นที่ 7 สำนักสันติวิธีและธรรมาภิบาล สถาบันพระปกเกล้า เมื่อวันวาน

                ว่าด้วยกรอบ 10 ประเด็นที่คณะกรรมการเตรียมการสร้างความสามัคคีปรองดองได้กำหนดไว้นั้น เป็นการมองอนาคต เพื่อให้คู่ขัดแย้งเห็นความสำคัญในอนาคต ขณะเดียวกันก็ต้องเหลียวหลังมองอดีต เพื่อเป็นบทเรียน ส่วนตัวไม่เชื่อเรื่องการลืมอดีต แต่เชื่อว่า หากนำบทเรียนจากในอดีตมาเป็นบทเรียนได้ถือเป็นเรื่องที่ดี

                นี่คือความยากเหมือนอย่างที่นักสันติวิธีทั้งโลกว่าไว้ การจะสร้างความปรองดองสิ่งสำคัญคือขั้วความขัดแย้งทุกฝ่ายจะต้องยอมรับความเป็นจริงร่วมกัน หากยังคงมีฝ่ายหนึ่งฝ่ายใดคาใจไม่มีทางที่จะประสบความสำเร็จ ก็ถูกเหมือนอย่างที่ท่านผู้นำว่าไว้ ปัญหาขัดแย้งที่ผ่านมาไม่ได้มีแค่มิติทางการเมือง หากแต่การเมืองก็เป็นเรื่องใหญ่ที่ท่านเองก็ไม่เคยละวางที่จะพาดพิงและตอกย้ำถึงกลุ่มคนที่ไม่ชอบขี้หน้า

                อีกประการที่บก.ลายจุดพูดถูกตรงเผงคงเป็นประเด็นคู่ขัดแย้งทั้ง 2 ฝ่ายที่ต้องพร้อมใจกันให้อภัย ไม่ใช่ฝ่ายหนึ่งฝ่ายใดให้อภัยเพียงฝ่ายเดียว  เพราะจะทำให้ฝ่ายที่ให้อภัยกลายเป็นเหยื่อและจะไม่ใช่การปรองดอง ประเด็นนี้เป็นการตอกย้ำปม “สองมาตรฐาน” ใครเลือกปฏิบัติต่อใคร คงไม่ต้องสาธยายอะไรให้เมื่อยตุ้ม ของรู้ๆ กันอยู่

                หากจะถามในแง่ความรู้สึกเรื่องการสร้างความปรองดองของรัฐบาล คงมีอยู่ 2 ด้าน ด้านหนึ่งรู้สึกดีที่รัฐบาลออกมานำเรื่องการปรองดอง ประเทศจะได้เดินหน้าต่อไป แต่ในอีกด้านหนึ่งพบว่า คนจำนวนหนึ่งมีภาวะโกรธแค้น ดังนั้น ทั้ง 2 มิติดังกล่าว มองว่าเป็นความจริงที่เกิดขึ้น เพียงแต่ว่าเมื่อจะขับเน้นสร้างความปรองดอง ต้องใช้วิธีการใด อย่างไรนั่นเป็นเรื่องหนึ่ง

                อย่างไรก็ตาม มองในบริบทที่เป็นไป ณ ปัจจุบัน มีเพียงแค่ 2 ทางเท่านั้นที่จะเป็นไปได้คือ สู้รบกันต่อไปหรือ หาทางที่ไม่ต้องสูญเสียกัน ทั้ง 2 ทางดังกล่าวเป็นเพียงวิธีการ ไม่ใช่เป้าหมาย สิ่งที่เป็นอุปสรรคของการปรองดองคือ ความรู้สึกที่เกิดจากกระบวนการการต่อสู้ กลายเป็นเหตุการณ์นำไปสู่การสูญเสียชีวิตและทรัพย์สิน

                จะว่ากันไปแล้ว ความขัดแย้งที่เกิดขึ้นตลอดกว่า 10 ปีที่ผ่านมา เป็นการต่อสู้กันเพื่อสนับสนุนหรือไม่สนับสนุนใครเท่านั้น ไม่ใช่การต่อสู้ เพื่อเอาหรือไม่เอาอะไร  เพราะพื้นฐานของการต่อสู้เพื่อสนับสนุนหรือไม่สนับสนุนใคร ผลลัพธ์คือการทำอย่างไรก็ได้เพื่อให้อีกฝ่ายสูญเสีย และความสูญเสียนี่เองที่กลายเป็นตราประทับให้อีกฝ่ายนำไปใช้เป็นเครื่องมือเล่นงานอีกฝ่าย ด้วยกระบวนการที่ไม่ยุติธรรม 

                น่าสนใจกับการตั้งคำถามของ นิพิฏฐ์ อินทรสมบัติ ที่บอกว่ารัฐบาลเริ่มต้นนับหนึ่งเรื่องการปรองดองได้อย่างถูกต้อง แต่จะนับสองถูกหรือไม่ ไม่แน่ใจ ถ้านำเอาความเห็นของ ภูมิธรรม เวชยชัย มาคิดตามก็เห็นความยุ่งยากที่รออยู่เบื้องหน้าอยู่ไม่น้อย ความปรองดองจะสามารถประสบความสำเร็จได้อย่างแท้จริงต้องเริ่มต้นอย่างถูกวิธี และมีจิตใจที่ยอมรับความแตกต่าง พร้อมอยู่ร่วมกันอย่างเข้าใจและเคารพกัน การเริ่มต้นด้วยแนวคิดเช่นนี้จะอำนวยความยุติธรรมให้เกิดขึ้นแก่ทุกฝ่าย

                ปัญหาใหญ่ในปัจจุบันหนีไม่พ้นเรื่องการยอมรับความเห็นต่าง แม้กระทั่งสื่อเองก็กำลังจะถูกพันธนาการ เพียงแต่ว่าท่วงทำนองการต่อต้านขององค์กรวิชาชีพสื่อนั้น น่าแปลกที่ไร้การแยแสจากสังคม นั่นคงเป็นเพราะที่ผ่านมา สมาคมวิชาชีพเหล่านั้นแทบจะไม่เคยมีท่าทีหรือการเคลื่อนไหวที่จะคัดค้านต่อต้านอำนาจของคณะรัฐประหารแม้แต่น้อย

                บทสรุปจากบทความของ สุธาชัย ยิ้มประเสริฐ จึงเป็นสิ่งที่ชวนให้คิด การละเลยที่จะต่อต้านอำนาจคณะรัฐประหารนั้น นำโดยสื่อมวลชนกระแสหลักทั้งหลายที่พร้อมใจเซ็นเซอร์ตัวเอง ให้ความร่วมมือและปฏิบัติตามคสช.ด้วยดีตลอดมา เรื่องการคัดค้านกฎหมายควบคุมสื่อมวลชนครั้งนี้ จึงเป็นเพียงเกมตลกเกมเดียว ที่ไม่ส่งผลต่อสิทธิเสรีภาพของประชาชนเอาเสียเลย

Back to top button