หุ้นน้ำมัน-แบงก์ลูบคมตลาดทุน
ราคาน้ำมันดิบทั้งเบรนต์ และเวสต์เท็กซัส (WTI) ปิดตลาดปรับเพิ่มขึ้นเป็นวันที่ 5 ติดต่อกัน
ธนะชัย ณ นคร
ราคาน้ำมันดิบทั้งเบรนต์ และเวสต์เท็กซัส (WTI) ปิดตลาดปรับเพิ่มขึ้นเป็นวันที่ 5 ติดต่อกัน
ตลาดหุ้นนิวยอร์ก ดัชนีทั้งดาวโจนส์, NASDAQ และ S&P 500 ปิดตลาดก็ปรับขึ้นทำสถิติสูงสุดเป็นวันที่ 4 ติดต่อกัน
ราคาน้ำมันดิบได้ปรับปัจจัยหนุนจากการปรับลดกำลังการผลิตของประเทศสมาชิกในกลุ่มโอเปก
ก่อนหน้านี้กลุ่มโอเปก และผู้ส่งออกน้ำมันรายใหญ่ เช่น รัสเซีย ต่างบรรลุข้อตกลงเกี่ยวกับการปรับลดกำลังการผลิตน้ำมันดิบของตนเองลงมา
และเริ่มมีผลนับจากวันที่ 1 มกราคม 2560
ข้อตกลงในครั้งนี้ได้รับความร่วมมือที่ดีจากประเทศสมาชิก
การผลิตน้ำมันดิบในเดือนมกราคม 2560
ปรากฏว่า สำนักข่าวซินหัวได้รายงานโดยอ้างข้อมูลจากกลุ่มโอเปกว่า สามารถปรับลดลงได้ถึง 8.6 แสนบาร์เรลต่อวันแล้ว
ส่วนสำนักงานพลังงานสากล หรือ IEA บอกว่า กลุ่มโอเปก ได้ลดกำลังการผลิตน้ำมันลงมาแล้ว 1 ล้านบาร์เรลต่อวัน
และนั่นทำให้การผลิตน้ำมันดิบของกลุ่มโอเปกลงมาอยู่ที่ 32.06 ล้านบาร์เรลต่อวัน
ตัวเลขนี้ถือว่าเป็นไปตามเป้าหมายแล้วล่ะ
ประเด็นที่น่าสนใจคือ ซาอุดีอาระเบีย และประเทศในกลุ่มโอเปกอื่นๆ
ต่างปรับลดกำลังการผลิตน้ำมันดิบลงมามากกว่าข้อตกลงที่เคยทำกันไว้เสียอีก
นี่คือสัญญาณที่ดีของราคาน้ำมันว่า จะทรงตัวในระดับ 55 ดอลลาร์ต่อบาร์เรลต่อไป
ก่อนหน้านี้โกลด์แมนแซคส์ ได้มีการประเมินราคาน้ำมันดิบในปี 2560 ว่า อยู่ในระดับ 55 ดอลลาร์ต่อบาร์เรล ซึ่งราคาปัจจุบันถือว่าใกล้เคียงกับราคาคาดการณ์
มีมุมมองจากนักวิเคราะห์ครับ
พวกเขามองว่า ในปีนี้ ผลประกอบการของหุ้นในกลุ่มน้ำมันในตลาดหุ้นไทยน่าจะออกมาดีกว่าปี 2559
ไม่ว่าจะเป็นหุ้น PTT, PTTEP, TOP และ IRPC
ปัจจัยหลักๆ ก็มาจากเรื่องของราคาน้ำมันดิบ ที่มีทิศทางเพิ่มขึ้นจากปีก่อนหน้านี้
ส่วนปัจจัยที่จะเข้ามากดดันราคาน้ำมันในขณะนี้ มีเพียงสต๊อกน้ำมันดิบรายสัปดาห์ของสหรัฐฯ และรวมถึงการเพิ่มขึ้น และลงของจำนวนแท่นขุดเจาะน้ำมันในสหรัฐฯ
ทว่า ก็ไม่ได้ทำให้ราคาน้ำมันถึงกับผันผวนไปมากนัก
ในด้านของตลาดหุ้นนิวยอร์ก
การเคลื่อนไหวได้เป็นไปตามนโยบายของทรัมป์
รวมถึงการออกมาแสดงความเห็นเกี่ยวกับอัตราดอกเบี้ยนโยบายของเฟด จากการเปิดเผยของ นางเจเน็ต เยลเลน
ล่าสุด มีการส่งสัญญาณว่า อาจจะมีการปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ยแน่นอนในปีนี้
เพียงแต่ยังไม่ระบุช่วงเวลาจะปรับขึ้น
แต่นั่นก็ทำให้หุ้นในกลุ่มธนาคารของตลาดหุ้นนิวยอร์กต่างปรับตัวเพิ่มขึ้น และช่วยดันดัชนีทั้ง 3 ดัชนี ขึ้นมาปิดตลาดทำนิวไฮต่อเนื่อง
แต่สำหรับหุ้นในกลุ่มธนาคารของไทย
แม้จะถูกมองว่า อาจได้รับผลบวกไปด้วย หากเฟดขึ้นดอกเบี้ย
แต่ก็ไม่น่าจะเป็นช่วงระยะเวลาอันใกล้
เพราะนักวิเคราะห์ต่างมองว่า สรุปธปท.น่าจะยังไม่มีการปรับขึ้นดอกเบี้ยนโยบายแน่นอน
และน่าจะคงระดับ 1.60% ไว้จนถึงสิ้นปีนั่นแหละ
มิเช่นนั้นแล้ว หากขึ้นดอกเบี้ย ก็อาจไปส่งผลกระทบต่อการเติบโตทางเศรษฐกิจที่กำลังฟื้นตัว
ส่วนกรณี MSCI ที่จากเดิมมีข่าวว่าจะมีการปรับเพิ่มน้ำหนักการลงทุนนั้น
ปรากฏว่า พอผลประกาศออกมามันไม่มี
ก็อาจสร้างความผิดหวังกันไปบ้าง
แต่นักวิเคราะห์ก็มองว่า การประกาศในรอบต่อไปของ MSCI
ก็น่าจะปรับเพิ่มน้ำหนักกลุ่มธนาคารแน่นอน