เล่นหุ้นเล็กลูบคมตลาดทุน
วานนี้มูลค่าการซื้อขายช่วงเช้าหดหายไปเยอะ
วานนี้มูลค่าการซื้อขายช่วงเช้าหดหายไปเยอะ
ปิดตลาดภาคเช้าเพียง 12,744 ล้านบาท เท่านั้น
ส่วนตอนเย็นก็ปรับขึ้นมาปิดตลาด 55,160 ล้านบาท แต่หากตัดบิ๊กล็อตของ SCCC หรือ บมจ.ปูนซีเมนต์นครหลวง ออก 2.3 หมื่นล้านบาท
ยอดเทรดก็จะเหลือเพียง 3.2 หมื่นล้านบาท
ผมได้คุยกับนักวิเคราะห์ ซึ่งเกือบทุกคนสรุปตรงกันว่า มูลค่าซื้อขายช่วงนี้ ค่าเฉลี่ยดูเบาบางนั่นเพราะ “ปัจจัยลบ” มากกว่า “ปัจจัยบวก”
อย่างตอนนี้นักลงทุนต่างก็เฝ้าว่า ธนาคารกลางสหรัฐ หรือเฟด จะปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ยหรือไม่
หากจำกันได้การประชุมของเฟดครั้งล่าสุดได้ตัดคำว่า “อดทน” ออกไป และจะขอดูตัวเลขเกี่ยวกับแรงงานว่าจะปรับตัวดีขึ้นหรือไม่
และจากข้อมูลล่าสุด ดูเหมือนว่าตัวเลขเกี่ยวกับแรงงานในสหรัฐดูดีขึ้น
และนั่นจะเป็นเงื่อนไขในการประชุมเฟดครั้งต่อไปว่า ดอกเบี้ยควรจะปรับ (ขึ้น) หรือยัง
ดังนั้น เมื่อภาคแรงงานดีขึ้น มันก็มีโอกาสที่เฟดจะปรับขึ้นดอกเบี้ยในการประชุมครั้งต่อไปในวันที่ 16-17 มิถุนายนนี้
ปัญหาที่ตามมาคือ เม็ดเงินจากนักลงทุนต่างชาติจะไหลออกจากตลาดหุ้นอีก
ก่อนหน้านี้ ผมได้คุยกับคุณปริญญ์ พานิชภักดิ์ กรรมการผู้จัดการ บล.ซีแอลเอสเอ ที่พอร์ตกว่า 90% มีแต่ต่างชาติเทรด ซึ่งเขาบอกว่า สัดส่วนของนักลงทุนต่างชาติจากเดิมเคยมีอยู่ประมาณ 35%
ทว่าตอนนี้เหลืออยู่ในระดับ 30% หรือต่ำกว่านั้นเล็กน้อยครับ
และหากพวกเขาขายออกอีก ก็คงหนีไม่พ้นหุ้นตัวขนาดใหญ่ หรือบลูชิพหลายตัว ที่จะได้รับผลกระทบจากการขายของนักลงทุนต่างชาติ
ขณะเดียวกันก็มีการมองกันว่า ปัจจัยในประเทศเกี่ยวกับอัตราดอกเบี้ยที่ปรับลดลง ก็ส่งผลต่อหุ้นใหญ่ในอีกหลายตัวเช่นกัน เช่น กลุ่มธนาคาร
มีธนาคารบางแห่งที่จะได้รับผลกระทบครับ
เพราะธนาคารหลายแห่งนั้น ยังคงมีรายได้หลักมาจากส่วนต่างอัตราดอกเบี้ย และเมื่อมันแคบลง ก็จะทำให้รายได้จากดอกเบี้ยปรับลง กระทั่งส่งผลต่อกำไร
ส่วนหุ้นธนาคารบางแห่งมีรายได้จากค่าธรรมเนียม (ฟี) เข้ามาช่วย
ก็ถือว่ามีการบริหารความเสี่ยงที่ดี
เรื่องการยกเลิกกฎอัยการศึก ก็เป็นอีกปัจจัยที่นักลงทุนต่างเฝ้ารอ
และก็รอดูด้วยว่า มาตรา 44 ที่จะนำมาใช้นั้น ผลตอบรับของนักลงทุนจะดูดีขึ้น หรือแย่ลง
เพราะในทางปฏิบัตินั้น ต่างมองว่า มันรุนแรงมากกว่าการใช้กฎอัยการศึกเสียอีก เพียงแต่ว่าความรู้สึกของนักลงทุนต่างชาติอาจดูดีขึ้น เพราะไม่มีคำว่า Martial Law (กฎอัยการศึก) อันเป็นข้อจำกัดของการลงทุน สำหรับกองทุนบางแห่ง
ส่วนตัวเลขเศรษฐกิจเอง ล่าสุดแบงก์ชาติก็ปรับลดจีดีพีปี 58 ลงมาเหลือ 3.9%
ธนาคารเอดีบีก็ปรับลดลงเช่นกัน
สรุปแล้ว คำแนะนำของโบรกฯ ส่วนใหญ่ ก็ให้เลือกเล่นหุ้นเป็นรายตัว
อย่างตัวใหญ่ๆ อาจมีความเสี่ยง
ก็ให้หันมาเล่นตัวกลางและเล็ก โดยเฉพาะให้จับตาพวก 3 ตัว 5 บาท หรือ 5 ตัว 10 บาท น่าจะกลับมาโลดแล่นโดดเด่นได้อีก
แต่หุ้นเหล่านี้ ก็ต้องดูพื้นฐานกันด้วย
P/E ต่ำอย่างเดียวไม่ได้
Growth จะต้องดีด้วย หรือมีค่า P/E Ratio ไม่เกิน 2 เท่า
ส่วนจะเป็นตัวไหนบ้าง ก็ต้องไปดูตามบทวิเคราะห์ของโบรกฯ แต่ละแห่งดู เห็นมีหลายโบรกฯ ให้คำแนะนำไว้
ผมไม่ค่อยกล้าเขียนมาแนะนำตรงนี้