พาราสาวะถี อรชุน

ไม่รู้เพราะไม่อยากเปิดศึกหลายด้านหรือหันไปมองแล้วกลุ่มที่ต่อต้านก็คือพวกเดียวกัน พลเอกประยุทธ์ จันทร์โอชา จึงประกาศลั่นเรื่องโรงไฟฟ้าถ่านหินกระบี่ที่คณะกรรมการนโยบายพลังงานแห่งชาติหรือกพช. ที่ตัวเองนั่งหัวโต๊ะเป็นประธานเคาะให้เดินหน้าก่อสร้าง จะต้องผ่านกระบวนการอนุมัติเรื่องผลกระทบด้านสิ่งแวดล้อมและสุขภาพหรืออีเอชไอเอเสียก่อน หากไม่ผ่านก็ไม่สร้าง


ไม่รู้เพราะไม่อยากเปิดศึกหลายด้านหรือหันไปมองแล้วกลุ่มที่ต่อต้านก็คือพวกเดียวกัน พลเอกประยุทธ์ จันทร์โอชา จึงประกาศลั่นเรื่องโรงไฟฟ้าถ่านหินกระบี่ที่คณะกรรมการนโยบายพลังงานแห่งชาติหรือกพช. ที่ตัวเองนั่งหัวโต๊ะเป็นประธานเคาะให้เดินหน้าก่อสร้าง จะต้องผ่านกระบวนการอนุมัติเรื่องผลกระทบด้านสิ่งแวดล้อมและสุขภาพหรืออีเอชไอเอเสียก่อน หากไม่ผ่านก็ไม่สร้าง

เป็นการดึงท่อนฟืนออกจากกองไฟที่กำลังถาโถมเข้าใส่รัฐบาลคสช.ในหลายประการ ผลประเมินคะแนนนิยมจากสำนักโพลทั้งหลาย เห็นได้อย่างชัดเจนว่า นอกเหนือจากตัวท่านผู้นำแล้ว เรื่องอื่นๆ ลดลงทุกด้าน โดยเฉพาะอย่างยิ่งผลงานโดยภาพรวมที่กรุงเทพโพลสรุปรายงานมาว่าประชาชนให้คะแนนแค่ 5.83 จากเต็มสิบ เท่ากับผ่านอย่างฉิวเฉียด

ขณะที่คะแนนการแก้ปัญหาด้านเศรษฐกิจเป็นไปตามคาดคือ สอบตกได้แค่ 4.63 คะแนน เหล่านี้คือโจทย์สำคัญที่ท่านผู้นำจะต้องคิดกันทุกช็อตหากจะเดินเกมในเรื่องใดก็ตาม วันนี้ดูเหมือนว่านอกจากกระบวนการสร้างความปรองดอง ซึ่งกำลังเดินหน้าอันเป็นความหวังของคนส่วนใหญ่แล้ว เรื่องต่างๆ ที่เกิดขึ้นไม่มีใครตอบได้ว่ามันเป็นผลดีต่อรัฐบาลหรือไม่

ไม่ว่าจะเป็นกรณี 7 สนช.ขาดการประชุมบ่อยครั้ง จนส่อว่าจะขาดคุณสมบัติ โดย 1 ในนั้นเป็นขาประจำน้องชายคลานตามกันมาของท่านผู้นำ “บิ๊กติ๊ก” พลเอกปรีชา จันทร์โอชา ท่ามกลางความกังขาของสังคม แม้คนเหล่านั้นจะสามารถยื่นใบลาได้ โดยไม่เป็นผลให้ถือว่าเป็นการขาดการประชุม แต่การร่วมประชุมแค่ไม่ถึง 10 ครั้งในห้วงเวลาปฏิบัติงานกว่า 400 วันนั้น มันเป็นเรื่องยากที่จะอธิบายได้

ส่วนปฏิบัติการตรวจค้นวัดพระธรรมกาย เพื่อจับธัมมชโย ผ่านมาจนถึงวันนี้ 4 วัน ยังไม่เห็นแม้แต่เงา การข่าวที่ตอบไม่ได้ว่าอดีตเจ้าอาวาสยังอยู่ภายในวัดหรือไม่ สะท้อนภาพความล้มเหลวได้อย่างชัดเจน แม้ว่าเมื่อวันวาน ดีเอสไอจะเลือกใช้วิธีการขั้นเด็ดขาดด้วยการสั่งให้บุคคลที่อยู่ภายในวัด ซึ่งไม่ได้มีส่วนเกี่ยวข้องใดๆ ออกจากวัดให้หมด

แต่กลับถูกท้าทายจากพระและลูกศิษย์วัดด้วยการระดมพลบุกเข้าไปภายในวัด การยกเอาคำสั่งตามมาตรา 44 มาเล่นงาน คงไม่ได้ผลกับกลุ่มคนที่มีความเชื่อและศรัทธาในเรื่องเดียวกัน วิธีการที่ทำได้ก็คือ หาตัวหัวโจกในการปลุกระดมแล้วก็ดำเนินการตามกฎหมาย หรือไม่ก็รวบตัวแกนนำที่เห็นความเคลื่อนไหวชัดเจน เช่นเดียวกับม็อบคัดค้านโรงไฟฟ้าถ่านหินกระบี่

ไม่ว่ากระบวนการจัดการธรรมกายโดยมีเป้าหมายที่ธัมมชโย จะยึดเอาตัวบทกฎหมายเป็นเรื่องสำคัญ เป็นเกราะป้องกันอันเหนียวแน่นให้กับบิ๊กตู่และคณะผู้ปฏิบัติงาน แต่ในทางกลับกัน หากปฏิบัติการไม่ประสบความสำเร็จ มันก็เหมือนดาบสองคมที่ย้อนกลับมาถึงรัฐบาลที่มีอำนาจเบ็ดเสร็จเด็ดขาดว่า ไร้น้ำยา ปล่อยให้กฎหมู่อยู่เหนือกฎหมายได้อย่างไร

บทสรุปของม็อบต้านโรงไฟฟ้า บทอวสานของปฏิบัติการบุกธรรมกาย จะเป็นบทพิสูจน์ที่สำคัญอีกประการในแง่ของความเป็นกลาง เป็นธรรมของรัฐบาล อย่างที่รู้กันม็อบคัดค้านโรงไฟฟ้านั้น เมื่อพิจารณาในตัวแกนนำแล้ว ต่างก็เป็นคนคุ้นเคย คนกันเองหรือจะเรียกได้ว่าคือกลุ่มคนที่ไล่รัฐบาลยิ่งลักษณ์ ชินวัตร แล้วโบกมือดักกวักมือเรียกให้คสช.ออกมารัฐประหารนั่นเอง

ส่วนธัมมชโยและธรรมกาย ในแง่ของการกระทำผิดกฎหมายนั่นเป็นเรื่องที่จะต้องว่ากันไปตามกระบวนการ แต่สิ่งที่มาลดทอนความชอบธรรมของรัฐบาลและเกิดคำถามต่อตัวบิ๊กตู่ คงเป็นเสียงเรียกร้องและขู่จากพุทธะอิสระ คนที่ 3 พี่น้องบูรพาพยัคฆ์ไปหมอบราบกราบกรานให้เจิมหน้าผากนั่นเอง มันเป็นเสมือนการดำเนินการเพื่อความสะใจแค่ของใครบางคนหรือเปล่า

จากที่จะเป็นเรื่องของการบังคับใช้กฎหมายโดยเคร่งครัด ไม่เลือกปฏิบัติ มันจะกลายเป็นการดำเนินการในลักษณะแบ่งเขาแบ่งเราไปเสียฉิบ โดยเฉพาะอย่างยิ่งการเลือกดำเนินการในห้วงเวลาที่ปรากฏข่าวเรื่องการขาดประชุมของสมาชิกสนช. 7 คนขาดประชุมบ่อยครั้ง จนเสียงปุจฉาของสังคมเริ่มดังขึ้นเรื่อยๆ ในประเด็นความเหมาะสมของค่าตอบแทนที่ได้รับและความคุ้มค่าในการปฏิบัติงาน

จะยกข้ออ้างใดมาอธิบายก็เป็นเรื่องยาก ถึงกฎระเบียบไม่ได้ห้ามหรือกำหนดจำนวนในการลา แต่การไม่ร่วมประชุมไม่ร่วมลงมติเลย มันคงเป็นเรื่องยากที่จะทำให้คนส่วนใหญ่ยอมรับได้ และกรณีนี้ก็ไม่ได้เป็นการไปรบกวนคนเกษียณแล้วอยากอยู่แบบเงียบๆ เพราะยิ่งเกษียณอายุราชการ ยิ่งต้องไปปฏิบัติหน้าที่ในสภาอันทรงเกียรติอย่างเคร่งครัด หรือคิดว่าเป็นน้องของผู้มีอำนาจเด็ดขาดเลยนึกอยากทำอะไรก็ทำ

กระแสต่อประเด็นดังกล่าว ดูเหมือนว่าไม่ได้เงียบไปตามความประสงค์ของพวกที่อยากจะให้เป็นด้วยการสร้างข่าวใหญ่อื่นมากลบไม่ มิเช่นนั้นคนอย่าง พลเอกประวิตร วงษ์สุวรรณ ที่ยืนยันในความบริสุทธิ์ผุดผ่องของ 7 สนช.มาโดยตลอดคงไม่ยอมใส่เกียร์ถอยแนะให้มีการตั้งคณะกรรมการขึ้นมาสอบสวน เช่นเดียวกันกับการกลับลำของ พรเพชร วิชิตชลชัย ประธานสนช.

จากเดิมที่ยืนกระต่ายขาเดียว ไม่ตั้งกรรมการสอบพร้อมเหตุผลสุดท้าทายคือ ทั้งหมดทำตามกติกาและถึงขั้นบอกว่าตัวเองไม่ได้เคร่งครัดในเรื่องของการลา แต่ล่าสุดกลับบอกว่าจะเร่งรัดให้คณะกรรมการจริยธรรมของสนช.เร่งดำเนินการ พร้อมยกหลักการแบบเป็นเหตุเป็นผลในการตรวจสอบว่า มีการกระทำผิดข้อบังคับการประชุมและมีการกระทำผิดตามหลักจริยธรรมหรือไม่

ท่าทีที่เปลี่ยนไปของประธานสนช.ย่อมไม่ใช่เรื่องปกติ หนึ่งอาจเป็นเพราะรับสัญญาณมาจากพี่ใหญ่ที่ดูเรื่องความมั่นคงและกำลังประสานเพื่อสร้างความปรองดอง อีกหนึ่งคงเป็นกระแสที่แม้ว่าจะมีข่าวอื่นมาเบี่ยงเบน หากแต่ประเด็นนี้ก็ไม่ได้จางหายไปจากการรับรู้ของสังคม มิหนำซ้ำ ยังคงเฝ้าติดตามเพื่อฟังผลการตรวจสอบกันอย่างใกล้ชิด

ไม่ว่าผลสอบจะออกมาอย่างไร ในแง่ของการยอมรับก็จะเป็นเพียงแค่ระดับหนึ่งเท่านั้น การเดินทางมาถึงวันนี้ ประกอบกับความเป็นองคาพยพของคนดี สิ่งที่คนส่วนใหญ่อยากเห็นมากที่สุดคงเป็นสปิริต การแสดงความรับผิดชอบด้วยการยอมเสียสละเก้าอี้และทิ้งเงินแสนของคนที่ไม่พร้อมมากกว่า ในยุคที่ทุกคนต้องเป็นแบบอย่าง ไม่รู้ว่าเราจะได้เห็นภาพเช่นนั้นให้เป็นบุญตาหรือเปล่า

 

Back to top button