พาราสาวะถี อรชุน
มาตรา 44 ที่เคยเป็นยาวิเศษ รัฐบาลคสช.งัดมาใช้กับเรื่องใด เมื่อไหร่ นั่นหมายความว่า เรื่องต่างๆ เหล่านั้นจะต้องจบไป หรือหากเป็นการใช้ในการดำเนินคดีกับตัวบุคคลหรือกลุ่มคน ไม่ว่าจะกรณีใดก็ตามทุกเรื่องจะต้องเป็นอันยุติ ทว่าการงัดออกมาใช้เพื่อสยบม็อบต้านโรงไฟฟ้าถ่านหินกระบี่ที่ทำเนียบรัฐบาล และจัดการกับวัดพระธรรมกายมีเป้าหมายเพื่อจับธัมมชโย กลับไม่เป็นไปแบบเด็ดขาด
มาตรา 44 ที่เคยเป็นยาวิเศษ รัฐบาลคสช.งัดมาใช้กับเรื่องใด เมื่อไหร่ นั่นหมายความว่า เรื่องต่างๆ เหล่านั้นจะต้องจบไป หรือหากเป็นการใช้ในการดำเนินคดีกับตัวบุคคลหรือกลุ่มคน ไม่ว่าจะกรณีใดก็ตามทุกเรื่องจะต้องเป็นอันยุติ ทว่าการงัดออกมาใช้เพื่อสยบม็อบต้านโรงไฟฟ้าถ่านหินกระบี่ที่ทำเนียบรัฐบาล และจัดการกับวัดพระธรรมกายมีเป้าหมายเพื่อจับธัมมชโย กลับไม่เป็นไปแบบเด็ดขาด
เกิดคำถามขึ้นมาทันทีว่าเหตุใดอำนาจตามกฎหมายที่เบ็ดเสร็จนี้จึงใช้ไม่ได้เด็ดขาดกับทั้งสองสถานการณ์ มุมวิเคราะห์ก็มีการพูดกันอย่างหลากหลาย ที่น่าสนใจคือ มีคำเตือนกันไว้ก่อนหน้านั้นแล้วว่า เมื่อใดก็ตามที่เริ่มมีข้อกังขาต่อมาตราดังกล่าว และมันไม่ใช่สิ่งศักดิ์สิทธิ์อีกต่อไป มันย่อมส่อสะท้อนถึงภาวะห้วงเวลาแห่งอำนาจที่จะต้องมีการผ่องถ่ายเปลี่ยนแปลง
ผู้มีอำนาจเต็มนับตั้งแต่การรัฐประหาร 22 พฤษภาคม 2557 อย่าง พลเอกประยุทธ์ จันทร์โอชา ย่อมเข้าใจสัจธรรมเรื่องนี้ดี สิ่งใดเมื่อมีเกิดแล้วย่อมมีดับ ยิ่งกับอำนาจซึ่งไม่ใช่สิ่งจีรังยั่งยืนด้วยแล้ว เมื่อถึงเวลาหนึ่งสิ่งที่เคยใช้ได้กลับบริหารจัดการด้วยความยากลำบาก หากวิเคราะห์ไปแล้วประการหนึ่งเป็นเพราะถึงเวลาที่คนใช้อำนาจกำลังจะก้าวลงจากหลังเสือ
ประการสำคัญคือ อำนาจที่เคยเบ็ดเสร็จเด็ดขาดที่ผ่านมาใช้จัดการกับบุคคลหรือคณะบุคคลที่ไม่ได้อยู่ในสถานะที่จะลุกขึ้นมาต่อสู้ แต่กับกรณีม็อบต้านโรงไฟฟ้าถ่านหิน ไม่ใช่เฉพาะแกนนำและแนวร่วมเท่านั้นที่ผู้มีอำนาจต้องเผชิญ หากแต่ยังต้องต่อสู้กับบุคคลและคณะบุคคลที่ให้การสนับสนุนทั้งเปิดเผยและเคลื่อนไหวกันแบบไม่ประสงค์จะแสดงตัวตน
เมื่อมีแนวร่วมอย่างกว้างขวางเช่นนี้ ประกอบกับปัจจัยที่เคยเป็นพวกเดียวกันหรือปัจจุบันก็อาจยังคงเป็นอยู่ หากบิ๊กตู่ได้พิจารณาดูจากคลิปที่มีการเผยแพร่อยู่เวลานี้ คำพูดทุกคำของกลุ่มต่อต้านโรงไฟฟ้าที่เอ่ยถึงท่านผู้นำล้วนแต่สะท้อนถึงภาวะอะไรบางอย่าง ลำพัง สุเทพ เทือกสุบรรณ ที่สนับสนุนรัฐบาลคสช.อย่างสุดลิ่มทิ่มประตู ก็มิอาจจะช่วยทัดทานหรือขอร้องกันเหมือนเช่นกรณีราคายางพาราตกต่ำในช่วงที่ผ่านมาได้
ด้วยกระบวนการต่อสู้ที่มีมาอย่างยาวนาน ผสานเข้ากับจุดยืนที่เป็นจุดแข็งของกลุ่มต่อต้าน ย่อมเป็นเรื่องที่ผู้มีอำนาจต้องเงี่ยหูฟังแบบไม่ดันทุรัง อันเป็นบทสรุปของที่ประชุมครม.เมื่อวันอังคารที่ผ่านมา ด้วยการให้กลับไปเริ่มต้นในการทำรายงานผลกระทบด้านสิ่งแวดล้อมและสุขภาพหรืออีเอชไอเอ และรายงานผลกระทบด้านสิ่งแวดล้อมหรืออีไอเอใหม่
การระบุว่ารัฐบาลนำข้อกังวลของประชาชนในประเด็นการมีส่วนร่วมของภาคประชาชนต่อโครงการโรงไฟฟ้าถ่านหินกระบี่ เพื่อดำเนินการรับฟังความเห็นจากประชาชนและผู้มีส่วนได้เสียใหม่อีกครั้ง เป็นภาพการถอยอันเป็นชัยชนะของฝ่ายต่อต้าน แต่ในทางกลับกันก็เป็นภาวะการถดถอยของอำนาจเบ็ดเสร็จเด็ดขาด ที่ถูกตั้งคำถามจากฝ่ายสนับสนุนให้เกิดโรงไฟฟ้าถ่านหินว่า หากรัฐบาลชุดนี้ยังผลักดันไม่สำเร็จก็อย่าหวังว่ามันจะมีโอกาสเกิดขึ้นได้อีก
ขณะที่ปมเรื่องโรงไฟฟ้าถ่านหินจบไป ทุกสายตาก็กลับมาจับจ้องไปยังการใช้มาตรา 44 จัดการกับธัมมชโย ท่าทีอันแข็งกร้าวของท่านผู้นำที่ประกาศลั่นไม่ยกเลิกมาตรายาวิเศษที่บังคับใช้กับวัดพระธรรมกายจนกว่าอดีตเจ้าอาวาสจะยอมมอบตัว ฟังดูแล้วน่าเกรงขาม แต่ยามนี้ต้องถามกลับไปยังผู้มีอำนาจว่า ฝ่ายที่ถูกขู่นั้นหวาดกลัวหรือเปล่า
สถานการณ์การเผชิญหน้าและหยั่งเชิงกันไปมาระหว่างเจ้าหน้าที่ตำรวจกับพระพร้อมคณะศิษยานุศิษย์ของวัดธรรมกายนั้นเป็นคำตอบที่ชัดเจน ประเด็นที่ท่านผู้นำว่าธัมมชโยต้องมอบตัวแลกกับอิสรภาพของวัดธรรมกาย หากมันง่ายขนาดนั้นป่านนี้ท่านผู้นำและคนที่รับผิดชอบงานด้านความมั่นคงและการข่าวคงตอบได้แล้วว่า คนที่ถูกออกหมายจับนั้นยังอยู่ภายในวัดหรือไม่
อาการใบ้รับประทาน บอกไม่ได้ว่าเผ่นไปแล้วหรือกบดาน มันสะท้อนถึงความล้มเหลวอย่างสำคัญของกระบวนการติดตามตัวผู้ต้องหาตามหมายจับมาดำเนินคดี เพราะก่อนที่จะเข้าตรวจค้น จับกุม มันต้องตอบให้ได้เสียก่อนว่า เป้าหมายยังอยู่ในที่ตั้งหรือลอยนวลไปแล้ว วิธีการเดียวที่จะค้นหาคำตอบภายในวัดพระธรรมกายได้คือ ใช้กำลังทหารพร้อมปฏิบัติการอันเฉียบขาด
แต่ในภาวะเช่นนี้คงไม่มีใครกล้าแลก ต้องไม่ลืมว่าการเล่นกับกลุ่มคนที่มีความเชื่อและศรัทธาในเรื่องเดียวกันอย่างแรงกล้านั้น เป็นเรื่องสุ่มเสี่ยงและอันตรายอย่างยิ่ง ปัจจัยเสี่ยงสำหรับฝ่ายเจ้าหน้าที่กับการปล่อยให้เวลาลากยาวออกไปหนีไม่พ้นปมมือที่ 3 หากเกิดเหตุร้ายแรงอย่างหนึ่งอย่างใดขึ้น คนที่จะตกเป็นจำเลยสังคมหนีไม่พ้นผู้ปฏิบัติงาน
ดังนั้น ระหว่างให้ธัมมชโยมอบตัวกับการยกเลิกมาตรา 44 ที่บังคับใช้กับวัดธรรมกาย คงไม่มีใครตอบได้ว่าเรื่องไหนจะมีความเป็นไปได้มากกว่ากัน แต่ทั้งหมดทั้งมวลผู้ที่จะให้คำตอบได้คือ คนที่ถือมาตรา 44 ไว้ในมือนั่นเอง ท่านต้องประเมินเหตุการณ์ด้วยการข่าวที่มีประสิทธิภาพ หากเห็นว่าเป็นการยากที่จะล่าตัวอดีตเจ้าอาวาสก็ควรเลิกวิธีการกดดันและการเผชิญหน้ากันของสองฝ่าย แล้วหันไปใช้วิธีการอย่างอื่นแทน ซึ่งสามารถใช้มาตรายาวิเศษเป็นตัวนำไปสู่การปฏิบัติให้เกิดผลได้
หยุดพักผ่อนสมองกันไป 3 วันสำหรับคณะกรรมการร่างรัฐธรรมนูญหรือกรธ. แต่ก็เหมือนไม่ได้หนีหน้าไปไหน เพราะในช่วงเวลาเดียวกันก็มีข่าวจากกกต.ว่า กรธ.ได้ส่งร่างกฎหมายประกอบรัฐธรรมนูญว่าด้วยกกต.และพรรคการเมืองขอความเห็นแล้ว นั่นหมายความว่า กฎหมายทั้งสองฉบับก็ต้องถูกส่งถึงมือสนช.เช่นเดียวกัน
หากกระบวนการเคลื่อนไปในลักษณะเช่นนี้ ก็ทำให้เชื่อได้ว่าถ้ารัฐธรรมนูญมีผลบังคับใช้ โรดแมปว่าด้วยการเลือกตั้งน่าจะเกิดขึ้นได้ภายในปีนี้ เว้นเสียแต่ว่ารายทางจะมีข้อทักท้วงอื่นๆ ที่เป็นอุปสรรค โดยเฉพาะอย่างยิ่งการเห็นไม่ตรงกันระหว่างสนช.กับกรธ. แต่พอหันมาดูสถานการณ์ต่างๆ ที่เกิดขึ้นในยามนี้ เชื่อได้เลยว่าคนที่เกาะกุมอำนาจน่าจะอยากปล่อยมือเปลี่ยนผ่านเต็มที