ความเชื่อมั่นพลวัต2015

เมื่อวานนี้ ตลาดหุ้นไทย มีวินโดว์ เดรสซิ่ง ของกองทุนรวมทั้งหลาย ทำให้ตลาดบวกไป 9.43 จุด แต่การบวกดังกล่าว ไม่มีประโยชน์มากนัก เพราะมูลค่าซื้อขายประจำวัน 3.59 หมื่นล้านบาท ไม่เพียงพอจะดันให้ตลาดไปต่อไกล แม้จะมีข่าวยกเลิกกฎอัยการศึกไปแล้ว แต่มีมาตรา 44 มาใช้แทน ซึ่งยังไม่รู้ว่าดีกว่าหรือแย่กว่า


เมื่อวานนี้ ตลาดหุ้นไทย มีวินโดว์ เดรสซิ่ง ของกองทุนรวมทั้งหลาย ทำให้ตลาดบวกไป 9.43 จุด แต่การบวกดังกล่าว ไม่มีประโยชน์มากนัก  เพราะมูลค่าซื้อขายประจำวัน 3.59 หมื่นล้านบาท ไม่เพียงพอจะดันให้ตลาดไปต่อไกล แม้จะมีข่าวยกเลิกกฎอัยการศึกไปแล้ว แต่มีมาตรา 44 มาใช้แทน ซึ่งยังไม่รู้ว่าดีกว่าหรือแย่กว่า

นักวิเคราะห์มีคำอธิบายว่า นักลงทุนไม่มั่นใจ เนื่องจากภาวะเศรษฐกิจไทย ไม่น่าจะทำให้กำไรสุทธิโดยรวมไตรมาสแรกของบริษัทจดทะเบียนปีนี้ จะดีเด่มากมายอะไร

ความลังเลใจของนักลงทุนมีเหตุผล เพราะการนั่งอยู่ริมทางรอให้สถานการณ์เหมาะเจาะค่อยเข้า น่าจะเป็นกลยุทธ์การลงทุนที่ปลอดภัยกว่า หากถือหลักการง่ายๆ ว่า กำไรน้อย ดีกว่าติดหุ้นยาว

ความเชื่อมั่น เป็นนามธรรม จับต้องไม่ได้ แต่มีความหมายเชิงจิตวิทยาอย่างมาก  เมื่อใดที่นักลงทุนขาดความเชื่อมั่น ต่อให้นักวิเคราะห์จะเชียร์แขกมากเพียงใดก็เปล่าประโยชน์ เพราะไม่มีผลให้แรงซื้อขายในตลาดกระเตื้องขึ้นมากนัก

การพักฐานแรงจากระดับ 1,600 จุดหลายสัปดาห์ก่อนมาถึงล่าสุดที่ระดับ 1,500 จุด เป็นประเด็นที่มีความหมาย ตราบใดที่ความเชื่อมั่นของนักลงทุนยังไม่เต็มร้อย โอกาสที่ตลาดจะซึมยาวหรือเข้าสู่อาการวาย เป็นไปได้ โดยเฉพาะในเดือนเมษายน ซึ่งจะเป็นช่วงเวลาที่ตลาดหุ้นหยุดทำการค่อนข้างยาว

ในอดีตที่ผ่านมา เวลาหุ้นปรับฐานยาว หรือพักฐานย่อย นักวิเคราะห์มักมีข้อสรุปว่า  การถดถอยแบบซึมยาวของดัชนีเป็นสิ่งที่เกินเลย เพราะผลประกอบการของหุ้นส่วนใหญ่ยังไปได้สวย ที่จะทำให้มูลค่าทางบัญชียังดีอยู่ต่อไป แต่การขาดข่าวดีทำให้วิ่งขึ้นแบบยกแผงไม่เกิดขึ้น แต่ยามนี้ นักวิเคราะห์ไม่สามารถอ้างได้อีกเพราะสถานการณ์เปลี่ยนไป

การขาดความเชื่อมั่นแบบรวมหมู่ของนักลงทุนยามนี้ ทำให้ตลาดห่อเหี่ยว เข้าข่ายภาวะหมีอย่างชัดเจน  

วอลุ่มซื้อขายประจำวันที่หดหายไปเป็นภาพที่เห็นได้ชัดถึงความไม่มั่นใจของนักลงทุนที่โดดเด่น ไม่ใส่ใจกับคำชี้ชวนของบรรดานักวิเคราะห์ ที่พากันออกมาชี้แนะว่า ราคาหุ้นบางรายการต่ำมากเกินไปแล้ว หรือเข้าเขตขายมากเกินไป  โดยเฉพาะหุ้นที่ผู้บริหารขยันสร้างงานและผลประกอบการรองรับการเติบโตในอนาคตจำนวนมาก เพราะเอ่ยไป นักลงทุนก็ไม่ใส่ใจซื้อ เนื่องจากกลัวซื้อแล้วติดหุ้นต่อ เพราะอารมณ์ของตลาดไม่เอื้ออำนวย

มองในมุมของนักวิเคราะห์ ความไม่เชื่อมั่น คือการสูญเสียโอกาสในการซื้อที่สำคัญ แต่สถานการณ์ปัจจุบัน ถือว่าไม่ได้เกินเลย เพราะค่าพี/อีเฉลี่ยของตลาดหุ้นไทยที่ระดับ 20.70 เท่า ค่อนข้างแพงที่สุดแห่งหนึ่งของโลก ผสมกับสถานการณ์ตลาดที่ไม่เอื้อ เพราะผลประกอบการอนาคตไม่น่าจะดี จะเอาค่าพี/อีล่วงหน้ามาชี้แนะเหมือนเดิม ก็ยากแล้ว

คำถามสำคัญที่จะต้องตั้งประเด็นขึ้นมายามนี้ อยู่ที่ว่า จะฟื้นความเชื่อมั่นกลับมาได้อย่างไร

คำตอบอยู่ที่ว่า ภาวะโดยรวมและการกลับมาของนักลงทุนต่างชาติ ดูเหมือนจะเป็นตัวแปรที่สำคัญอย่างขาดเสียไม่ได้ ทั้งที่โดยข้อเท็จจริงแล้ว การลงทุนของนักลงทุนต่างชาติในปัจจุบัน ไม่ได้มีนัยสำคัญต่อดัชนีราคามากมายเหมือนในอดีตแต่อย่างใด แต่ก็ไม่อาจจะละทิ้งหรือมองข้ามไปได้

ท่ามกลางความไม่มั่นใจของนักลงทุนนี้ การซื้อขายจากพอร์ตของบริษัทหลักทรัพย์กลับโป่งขึ้นมาอย่างเห็นได้ชัดเจนเกินกว่า 10% เกือบทุกวันต่อเนื่อง แสดงให้เห็นว่า ถึงโอกาสที่ชัดเจนมากของผู้เล่นสำคัญในตลาด ซึ่งเป็นตัวแปรที่นักลงทุนทั่วไปต้องสนใจอีกเช่นกัน แม้ว่าจะไม่มีแก๊ง 4 โมงเย็นตามที่ชอบอ้างกัน

ในความไม่มั่นใจของนักลงทุนโดยเฉพาะรายย่อยนั้น เราได้เห็นบรรดานักลงทุนสถาบัน โดยเฉพาะทริกเกอร์ฟันด์เข้ามามีบทบาทดูดซับหุ้นจากตลาดมากขึ้น ดังเห็นจากการเข้าซื้อต่อเนื่อง หลังจากได้มีการออกกองใหม่ไปเมื่อสองสัปดาห์ที่ผ่านมาขายนักลงทุนที่ต้องการถือหน่วยมากกว่าลงทุนด้วยตัวเอง

ที่น่าสนใจคือ แม้ว่ากองทุนทริกเกอร์จะเข้ามาซื้อกันหลายกองในช่วงนี้ ซึ่งตลาดก็ทราบล่วงหน้า แต่ก็ไม่ขานรับมากนัก แถมยังขายเย้ยเสียอีก ชนิดไม่มีหวั่นกลัวโดยเฉพาะอย่างยิ่งพอร์ตโบรกเกอร์และรายย่อย ซึ่งถือว่ามาเข้าทางพอดี

ที่น่าสนใจคือ ดัชนี SET50 ซึ่งเน้นหนักที่หุ้นบลูชิพขนาดใหญ่เป็นสำคัญ กลับมีการวิ่งขึ้นของดัชนีต่ำกว่าดัชนี SET แถมยังมีมูลค่าซื้อขายต่ำกว่าปกติ ซึ่งทำให้ขาขึ้นไม่แข็งแกร่ง พร้อมจะเปลี่ยนทิศทางได้เสมอ ทำให้มีคำถามตามมาว่า ความสุ่มเสี่ยงที่จะเกิดการพลิกผันของตลาด กลับเป็นขาลงระลอกใหม่ มีโอกาสมากน้อยเพียงใด

หากพิจารณาจากข้อเท็จจริงว่า มูลค่าตลาดจองหุ้นรายตัว หรือ valuation ส่วนใหญ่ในตลาดไทยยามนี้ มีราคาค่อนข้างแพงมากเทียบกับตลาดอื่นๆ ในขณะที่ความเชื่อมั่นว่ารัฐบาลพลเอกประยุทธ์ จันทร์โอชา ในการกระตุ้นการฟื้นตัวทางเศรษฐกิจค่อนข้างต่ำ หลังจากที่สำนักวิจัยต่างๆ ทั้งในประเทศและต่างประเทศ ยังคงลดประมาณการทางเศรษฐกิจ และกำไรบริษัทจดทะเบียนลง ก็ยิ่งทำให้เชื่อได้ว่า โอกาสขึ้นของดัชนี มีน้อยกว่าโอกาสลง แม้ว่าที่ผ่านมาจะปรับตัวลงมาแล้วค่อนข้างมากแล้วก็ตาม

เกมของตลาดหุ้น ต้องการความเชื่อมั่นมากเป็นพิเศษ เฉกเช่นเดียวกับเกมของตลาดเก็งกำไรทั้งหลายแหล่ แต่ความเชื่อมั่นของนักลงทุนแต่ละกลุ่มก็แตกต่างกันไปด้วย โดยเฉพาะความเชื่อมั่นของนักลงทุนรายย่อย ที่ใช้อารมณ์มากกว่าเหตุผล อันเป็นคุณสมบัติที่มืออาชีพแบบผู้จัดการกองทุน หรือเทรดเดอร์ของพอร์ตโบรกเกอร์ต้องมีประจำตัวตลอด เพราะความเชื่อมั่นกับค่าโง่ เป็นเหรียญคนละด้านที่จะขาดเสียไม่ได้ในการลงทุน

สถานการณ์ของความเชื่อมั่นถดถอยนี้ จะยั่งยืนอีกนานแค่ไหน เป็นเรื่องคาดเดายาก เพราะอารมณ์ของตลาดนั้น เปรียบได้กับสตรีวัยทอง แปรผันง่ายดาย แบบที่เบนจามิน แกรห์ม เคยกล่าวเอาไว้ถึง “คุณตลาด” ที่เป็นอมตะ

               

 

Back to top button