นั่งม้าชมดอกไม้

คงไม่ใช่การนัดล่วงหน้า แต่มันเป็นกระแสว่าเมื่อมีการประกาศงบของบริษัทจดทะเบียนส่วนใหญ่ในตลาดหลักทรัพย์ฯ ก็เป็นจารีตที่บรรดาผู้ที่เกี่ยวข้องจะต้องออกมาประมวลภาพรวมของตลาดอย่างเป็นระบบ


พลวัต 2017 : วิษณุ โชลิตกุล

 

คงไม่ใช่การนัดล่วงหน้า แต่มันเป็นกระแสว่าเมื่อมีการประกาศงบของบริษัทจดทะเบียนส่วนใหญ่ในตลาดหลักทรัพย์ฯ ก็เป็นจารีตที่บรรดาผู้ที่เกี่ยวข้องจะต้องออกมาประมวลภาพรวมของตลาดอย่างเป็นระบบ

ตลาดหลักทรัพย์ฯดูจะเป็นเสือปืนไวกว่าใคร เพราะกุมข้อมูลสำคัญเอาไว้ แต่ปีนี้พิเศษกว่าปกติ เพราะมีคนที่ไวกว่า “กามนิตหนุ่ม” คือกูรูการตลาดชั้นนำ อย่าง รองนายกรัฐมนตรี นายสมคิด จาตุศรีพิทักษ์ หัวหน้าทีมเศรษฐกิจรัฐบาลนี้ หยิบยืมข้อมูลตลาดฯมา แย่งซีน” เสียเอง ด่วนประกาศชนิดไม่เกรงอกเกรงใจผู้จัดการตลาดฯที่นั่งเจี๋ยมเจี้ยมเป็นลูกขุนพลอยพยักโดยปริยาย

ผลประกอบการของบริษัทจดทะเบียนทั้งหมด 659 บริษัทที่ประกาศมาแล้วในปี 2559 มีกำไรสุทธิ 8.8 แสนล้านบาท เติบโตถึง 26.5% เทียบกับปี 2558 ที่กำไรสุทธิเพียง 6.96 แสนล้านบาท โดยการเติบโตกระจายในทุกกลุ่ม และบริษัทจดทะเบียนมีโครงสร้างที่ดีมีระดับอัตราส่วนหนี้สินต่อทุนในระดับที่แข็งแรง แสดงให้เห็นว่าเศรษฐกิจไทยมีการฟื้นตัวอย่างชัดเจน

จริงแล้ว หากคิดจากกำไรของหน่วยลงทุนจำนวนอื่น รวมทั้งกองทุนสารพัดประเภท กำไรของตลาดน่าจะมากกว่านี้หลายเท่า และยังมีข้อเท็จจริง เช่น งบเกือบครึ่งหนึ่งของบริษัทจดทะเบียน มีกำไรพิเศษช่วยให้ดูดี มากกว่ากำไรจากการดำเนินงานปกติ ก็จะทำให้การวิเคราะห์แม่นยำมากขึ้น

ข้อมูลดังกล่าว ทำให้รองนายกฯสมคิดเอาไปเจื้อยแจ้วชนิดเอาสีข้างเข้าถูว่า เป็นผลงานของรัฐบาลในการกระตุ้นการบริโภคในประเทศ การลงทุนของผู้ประกอบการจากต่างประเทศ อุตสาหกรรมการผลิต และการท่องเที่ยวที่ฟื้นตัวได้เร็วมาก และเดินตามแผนการปฎิรูปเศรษฐกิจต่อไป โดยเตลิดเปิดเปิงถึงขั้นฝันกลางวันว่า จะให้ตลาดหลักทรัพย์ฯเป็นแหล่งระดมทุนของ 10 อุตสาหกรรมเป้าหมาย โดยปี 2560 ตั้งเป้าสัดส่วน 30% ของมาร์เก็ตแคปของบริษัทใหม่ (IPO) ที่จะเข้ามาจดทะเบียนในตลาดหุ้น และอีก 3 ปีข้างหน้าคาดว่าจะเพิ่มสัดส่วนเป็น 50% ของมาร์เก็ตแคปหุ้นใหม่ทั้งหมด

เจอไม้เด็ดเกินคาด ของนักการตลาดชั้นเซียนเข้า ทำเอานางเกศรา มัญชุศรี กรรมการและผู้จัดการ ตลาดหลักทรัพย์ฯ ต้องเออออว่า ตลาดหุ้นปีนี้คาดว่าจะเติบโตอย่างต่อเนื่องจากปีก่อน และกระจายไปในทุกกลุ่มอุตสาหกรรม

ข้อมูลของตลาดที่แม้จะไม่เปิดเผยรายละเอียดมากมายนัก ก็ถือเป็นข่าวดี เพราะทำให้นักวิเคราะห์ทั้งหลายนำไปต่อยอดคำนวณเพิ่มเติมเช่นว่า  ผลประกอบการของบริษัทจดทะเบียนปี 2559 ที่เติบโตมากกว่า 26.5% จะทำให้ P/E ล่วงหน้าของตลาดหุ้นไทยลดลงเหลือเพียง 16.5 เท่า จากที่เคยอยู่ประมาณ 18-19 เท่า ซึ่งถือเป็นสัญญาณการฟื้นตัวที่ดี และมีเสน่ห์เมื่อเทียบกับตลาดหุ้นอื่นๆ มากขึ้น

ในเบื้องต้น นักวิเคราะห์จากสำนักบริษัทหลักทรัพย์โนมูระ พัฒนสิน ให้เป้าดัชนีตลาดหุ้นไทยปี 2560 ไว้ที่ 1,654 จุด  P/E  อยู่ที่ 15.75 เท่า และผลประกอบการของบริษัทจดทะเบียนไว้ที่ 9 แสนกว่าล้านบาท เติบโตกว่า 10% โดยระบุว่ากลุ่มอุตสาหกรรมที่คาดว่าจะเติบโตในปีนี้ ได้แก่ กลุ่มปิโตรเคมี  (PTTGC, IVL, IRPC)  และกลุ่มธนาคารพาณิชย์ ได้แก่ (SCB, BBL, KBANK) และหุ้นที่เกี่ยวข้องกับการลงทุนภาครัฐ (AMATA, WHA, BLAND) แต่ก็ถือว่าตกรุ่นไปในทันที เพราะล่าสุดในการประเมินใหม่ที่แซงหน้าไปเรียบร้อย

ตัวเลขปรับใหม่ล่าสุด มาจากนักวิเคราะห์ของสำนักบริษัทหลักทรัพย์ เอเซีย พลัส จำกัด (มหาชน) ระบุว่า เดิมประเมินกำไรสุทธิตลาดปี 2560 ไว้ที่ 9.52 แสนล้านบาท แต่หลังจากการปรับปรุงให้สอดคล้องกับภาพที่เกิดขึ้น และแนวโน้มธุรกิจ มีการปรับเพิ่มประมาณการกำไรขึ้นอีกราว 4% เป็น 9.91 แสนล้านบาท หรือ 101.4 บาทต่อหุ้น จากเดิม 99.8 บาทต่อหุ้น

จากภาพรวม มีการวิเคราะห์ลงลึกเป็นรายกลุ่ม แยกเป็น

– กลุ่มธนาคารพาณิชย์ ปรับเพิ่มราว 1.3 หมื่นล้านบาท หรือ 6.5% จากประมาณการเดิม เมื่อเดือนมกราคมที่ผ่านมา

– กลุ่มพลังงาน ปรับเพิ่มราว 1.1 หมื่นล้านบาท หรือ 5.3% จากประมาณการเดิม (หลักๆ มาจาก PTT และ PTTEP)

– กลุ่ม ICT ปรับเพิ่มราว 8.2 พันล้านบาท (จาก JAS ที่ได้กำไรพิเศษจากการขายสินทรัพย์รอบใหม่) 

– กลุ่มเหล็ก ปรับเพิ่มราว พันล้านบาท

– กลุ่มที่มีการปรับประมาณการลดลง ประกอบด้วย กลุ่มขนส่ง ปรับลงราว 3 พันล้านบาท หรือ 8.8% จากประมาณการเดิม โดยเฉพาะธุรกิจสายการบิน สะท้อนต้นทุนน้ำมันที่สูงขึ้น และภาวการณ์แข่งขันที่รุนแรง

แม้จะมีมุมมองในเชิงบวก แต่นักวิเคราะห์ของสำนักนี้ก็ยังมีความระมัดระวังมากขึ้น มองว่าภายใต้ประมาณการกำไรสุทธิใหม่ อิงกับ P/E ที่คาดหวังที่ระดับ 16 เท่า คำนวณบนสมมติฐาน ส่วนต่างของผลตอบแทนของเงินปันผล (Earning Yield Gap) ที่ 4.75% ทำให้ได้ดัชนีเป้าหมายของปีนี้ใหม่ที่บริเวณ 1,622  จุด

เป้าหมายใหม่ดัชนี สะท้อนมุมมองนักวิเคราะห์ค่ายนี้ว่า ตลาดหุ้นมีอัพไซด์ค่อนข้างจำกัด ยังต้องเน้นการลงทุนแบบคัดสรรมากเป็นพิเศษ โดยให้ความสำคัญกับ 1) หุ้นที่คาดว่าผลงานจะเติบโตโดดเด่นกว่าตลาด เช่น กลุ่มพลังงาน กลุ่มค้าปลีก กลุ่มการเงิน กลุ่มส่งออก กลุ่มรับเหมาก่อสร้าง และกลุ่มเหล็ก  2) หุ้นกลุ่มที่พึงหลีกห่างได้แก่ กลุ่มเกษตรและอาหาร กลุ่ม ICT กลุ่มประกันฯ และกลุ่มบันเทิง

ภาพรวมเหล่านี้ ไม่ได้หมายความว่าจะต้องถูกเสมอ เพราะเป็นการฉายภาพแบบ “เหมารวม” ที่ตรงกับภาษิตจีนโบราณ “นั่งม้าชมดอกไม้” ซึ่งอาจจะไม่ลงลึกในรายละเอียด เพราะในหุ้นกลุ่มที่ย่ำแย่ อาจจะมีหุ้นดีที่ซุ่มซ่อนความแข็งแกร่ง เช่นเดียวกันกับหุ้นกลุ่มที่เป็นขาขึ้น อาจจะมีหุ้นรายตัวที่ฐานะการเงินย่ำแย่แฝงอยู่

ข้อเท็จจริงเหล่านี้ นักวิเคราะห์พึ่งพาได้ในระดับหนึ่งเท่านั้น นักลงทุนที่ต้องการ “เอาชนะตลาด” ต้องทำการบ้านและค้นหาหุ้นที่เหมาะสำหรับการลงทุนเอง

Back to top button