พาราสาวะถี

ความชัดเจนภายใน 5 วันหรือการเผด็จศึกวัดพระธรรมกายตามความหมายของดีเอสไอ ที่ พลเอกประยุทธ์ จันทร์โอชา ควันออกหูบอกว่าไม่ได้พูดว่าจะจัดการขั้นเด็ดขาดนั้น กระจ่างชัดจากปฏิบัติการตรวจค้นเมื่อวันศุกร์ที่ผ่านมา ถือว่าเป็นทางออกแบบบัวไม่ช้ำน้ำไม่ขุ่นและไม่ต้องมีใครเสียท่า อาจจะเสียหน้า


พาราสาวะถี : อรชุน

 

ความชัดเจนภายใน 5 วันหรือการเผด็จศึกวัดพระธรรมกายตามความหมายของดีเอสไอ ที่ พลเอกประยุทธ์ จันทร์โอชา ควันออกหูบอกว่าไม่ได้พูดว่าจะจัดการขั้นเด็ดขาดนั้น กระจ่างชัดจากปฏิบัติการตรวจค้นเมื่อวันศุกร์ที่ผ่านมา ถือว่าเป็นทางออกแบบบัวไม่ช้ำน้ำไม่ขุ่นและไม่ต้องมีใครเสียท่า อาจจะเสียหน้าบ้างเล็กน้อย

กล่าวคือ ผลจากการตรวจค้นจุดต้องสงสัยที่ดีเอสไออยากจะไปซ้ำมากที่สุดคือ อาคารดาวดึงส์ซึ่งเคยเป็นที่พำนักของ ธัมมชโย รวมไปถึงอาคารบุญรักษาที่มีห้องหับมากถึง 135 ห้อง ที่ฝ่ายเจ้าหน้าที่สงสัยว่าน่าจะมีการหลบซ่อนอยู่ที่ใดที่หนึ่ง แต่เมื่อผลการตรวจค้นแล้วไม่พบตัวอดีตเจ้าอาวาส การตั้งโต๊ะแถลงข่าวของอธิบดีดีเอสไอกับคณะจึงออกมาอย่างที่เห็น

สรุปแล้วก็คือ ต้องตามตัวธัมมชโยกันต่อไปและประกาศได้เต็มปากเต็มคำว่า “เป็นผู้ต้องหาหนีคดี” ส่วนที่วัดพระธรรมกาย ก็จะถอนกำลังเจ้าหน้าที่เพื่อผ่อนคลายบรรยากาศและขอให้พระพร้อมลูกศิษย์ที่รวมตัวกันที่ตลาดคลองหลวงกลับเข้าวัดไปให้หมด พร้อมเปิดประตูวัดทุกทิศทางให้ลูกศิษย์เข้าไปทำบุญ ปฏิบัติศาสนกิจได้เหมือนเดิม เพียงแต่ว่าจะมีการวางกำลังเพื่อป้องกันมือที่ 3 ต่อไป

ความจริงมันควรจะเกิดภาพเช่นนี้มาตั้งนานแล้ว คือประสานตรวจค้นกับทางวัดเสียให้พอใจในจุดที่สงสัย ไม่ใช่เล่นเอาล่อเอาเถิดหยั่งเชิงกันเสียจนคนทั่วไปเห็นเป็นเรื่องตลก ฝ่ายรัฐก็เสียหายโดยเฉพาะผู้มีอำนาจที่พบว่ามาตรา 44 ซึ่งเป็นเสมือนยาวิเศษประจำรัฐบาลคสช.กลายเป็นของเน่าใช้การไม่ได้ จนผู้นำถึงกับโวยวายถ้าไม่เคารพกฎหมายจะอยู่กันอย่างไร

จะว่าไปแล้วนี่คือความผิดพลาดในการประเมินด้านการข่าวของรัฐบาล ก่อนที่จะใช้มาตรายาวิเศษ เพราะขณะที่ยกกำลังหลายพันคนไปปิดล้อมวัดธรรมกาย ด้วยเป้าประสงค์ว่าจะต้องจับกุมตัวธัมมชโยให้ได้ แต่กลับไร้คำตอบเมื่อถูกถามว่าอดีตเจ้าอาวาสอยู่ภายในวัดหรือไม่ แค่เท่านี้มันก็ทำให้เห็นความบ่มิไก๊ของฝ่ายรัฐแล้ว

การเที่ยวอ้างเรื่องเคารพกฎหมาย ถามว่าคนส่วนใหญ่ปฏิบัติตามหรือไม่ คำตอบมันมีอยู่ในตัวอยู่แล้ว เช่นเดียวกันกับบรรดาพระและศิษย์ของวัดธรรมกาย ที่ด้านหนึ่งอาจจะถูกมองว่าใช้กฎหมู่อยู่เหนือกฎหมายเพื่อปกป้องเจ้าลัทธิของตัวเอง แต่อีกมุมนี่คือการปกป้องพื้นที่อันเป็นสถานประกอบกิจกรรมตามความเชื่อและความศรัทธาของพวกตัวเอง

แน่นอนว่าโดยหลักของการบริหารแล้ว ความเชื่อและศรัทธาคือหนึ่งข้อยกเว้นของผู้นำหรือผู้บริหารที่เขามักจะไม่เข้าไปตอแย เว้นเสียแต่ว่าความเชื่อนั้นเป็นสิ่งที่ผิดกฎหมายและทำลายความมั่นคงของบ้านเมือง แต่นี่ไม่ใช่ เมื่อเลือกที่จะเสี่ยงก็ต้องยอมรับผลที่จะตามมา ซึ่งก็อย่างที่เห็นยิ่งนานวันความกดดันยิ่งถาโถมเข้าใส่ผู้มีอำนาจและฝ่ายปฏิบัติอย่างหนักหน่วง

ทางลงเช่นนี้ ก็น่าจะเป็นหนทางที่เจ็บตัวน้อยที่สุด ดีกว่าถอนกำลังกลับกันแบบดื้อๆ ส่วนคนที่เจ็บใจและไม่ยอมรับกับผลซึ่งออกมาแบบนี้ คงเป็นคนห่มเหลืองที่บิ๊กตู่และพี่ๆ บูรพาพยัคฆ์ไปหมอบราบกราบกรานให้เจิมหน้าผากมาอย่าง พุทธะอิสระ เพราะในขณะนี้ดีเอสไอเปิดทางถอย ที่ประชุมมหาเถรสมาคมหรือมส.เมื่อวันศุกร์กลับไม่เป็นไปอย่างที่เจ้าตัวต้องการอยากจะให้เป็น นั่นก็คือจับธัมมชโยสึกทันที

โดยที่ประชุมมส.ได้รับทราบการถอดสมณศักดิ์ของ พระไพบูลย์ สุทธิผล หรือ ธัมมชโย และ พระทัตตชีโว รองเจ้าอาวาสวัดพระธรรมกาย ซึ่งมหาเถรสมาคมไม่มีอำนาจในการให้ธัมมชโยและพระทัตตชีโวสละสมณเพศ นอกจากนี้ ในที่ประชุมมหาเถรสมาคมก็ไม่ได้นำเรื่องพระลิขิตสมเด็จพระสังฆราชองค์ก่อนที่ให้พระธัมมชโยต้องอาบัติปาราชิกมาพิจารณาด้วย

เรื่องการให้สละสมณเพศ ทางสำนักงานพระพุทธศาสนาแห่งชาติจะส่งเรื่องไปให้เจ้าคณะใหญ่หนกลาง ใช้กฎมหาเถรสมาคมฉบับที่ 21 ในการพิจารณาถอดถอนสมณเพศ โดยจะส่งข้อมูลเอกสารทางคดีในความผิดทางอาญาของธัมมชโย ซึ่งดีเอสไอได้ยื่นต่อพศ.  เอกสารทางคดีในความผิดเกี่ยวกับทางการเงินและทรัพย์สินที่มีส่วนเกี่ยวกับกระทำความผิดของธัมมชโย ที่สำนักงานป้องกันและปราบปรามการฟอกเงินหรือ ปปง. ให้เจ้าคณะใหญ่หนกลางไปประกอบการพิจารณา

ขณะที่ พันตำรวจโทพงศ์พร พราหมณ์เสน่ห์ ผู้อำนวยการสำนักพระพุทธศาสนาแห่งชาติ ในฐานะเลขาธิการมหาเถรสมาคม ก็ออกมายืนยันว่า ระยะเวลาในการดำเนินการ ในกฎเบื้องต้นไม่ได้กำหนดไว้ว่าจะต้องทำภายในระยะเวลาเท่าใด แต่ยืนยันว่าในสถานการณ์อย่างนี้จะมาช้าไม่ได้ และต้องเร่งดำเนินการให้เร็วที่สุด

ด้วยเหตุนี้ พุทธะอิสระ จึงออกมาตีโพยตีพาย ถึงขั้นกล่าวหาว่า หากเจ้าคณะใหญ่หนกลางคิดจะช่วยเหลือลัทธิกบฏผีบุญ ประวิงเวลาให้ทอดยาวออกไป เจ้าคณะใหญ่หนกลางอาจจะใช้กฎข้อ 4 ของกฎมหาเถรสมาคมฉบับที่ 21 ตั้งองค์คณะพิจารณาคดีชั้นต้นขึ้นมาอีก ซึ่งจะเข้าสู่กระบวนการนิคหกรรมทันที และตามหลักกฎนิคหกรรม คณะผู้พิจารณาชั้นต้นก็คือ เจ้าคณะอำเภอ เจ้าคณะตำบล และเจ้าอาวาสเจ้าสังกัด

กลุ่มบุคคลทีพุทธะอิสระ บอกว่านักบวชพวกนี้ก็เคยไปกินไปนอนรับเงินทองจากลัทธินี้มาทั้งนั้น ไม่เว้นแม้แต่เจ้าคณะใหญ่หนกลาง ก่อนที่จะตบท้ายว่า หากเจ้าคณะใหญ่หนกลางคิดจะใช้กฎหมายมหาเถรสมาคมฉบับที่ 21 มาจัดการกับเจ้าลัทธิกบฏผีบุญตนนี้จริงๆ คงจัดการไปนานแล้ว ไม่ต้องให้เจ้าหน้าที่มายืนตากแดดหัวแดงเป็นพันๆ คนเช่นนี้

อาจเรียกว่านี่คืองานถนัดของเจ้าลัทธิกรวยวิเศษที่ใครแตะ ต้องมีอันเป็นไปในช่วงม็อบล้มรัฐบาลยิ่งลักษณ์ครองเมือง ด้วยการดักคอหรือกดดันเจ้าหน้าที่ผู้ปฏิบัติงานเพื่อให้ทุกเรื่องเป็นไปตามความต้องการของตัวเอง เห็นอย่างนี้แล้วก็ชวนให้นึกถึงคำพูดของท่านผู้นำที่ย้ำนักย้ำหนาเรื่องการเคารพกฎหมาย แต่หากคนที่ท่านไปกราบไหว้บูชายังพยายามทำตัวอยู่เหนือกฎหมาย โดยการวิพากษ์วิจารณ์พระชั้นผู้ใหญ่ที่ยังไม่ได้ลงมือทำตามกฎหมาย ชี้นำให้เป็นไปตามใจตัว เช่นนี้แล้วบ้านเมืองมันจะสงบปรองดองอย่างไร

Back to top button