EFORL เข็นไม่ขึ้น
เวลาผ่านไปกว่า 3 ปี ถือว่านานพอสมควรสำหรับ นายธีรวุทธิ์ ปางวิรุฬห์รักข์ ผู้ถือหุ้นใหญ่และประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บริษัท อี ฟอร์ แอล เอม จำกัด (มหาชน) หรือ EFORL ที่จะตระหนักเสียทีว่า “ทุกขลาภ” จากการเข้าซื้อกิจการเสริมความงาม ในเครือข่ายของ บริษัท ดับบลิวซีไอ โฮลดิ้ง จำกัด (WCIH) ซึ่งเป็นบริษัทแม่ของ บริษัท วุฒิศักดิ์ คลินิก อินเตอร์กรุ๊ป จำกัด (WCIG) นั้น สร้างปัญหาเดือดร้อนเกินกว่าจะทา
แฉทุกวันทันเกมหุ้น
เวลาผ่านไปกว่า 3 ปี ถือว่านานพอสมควรสำหรับ นายธีรวุทธิ์ ปางวิรุฬห์รักข์ ผู้ถือหุ้นใหญ่และประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บริษัท อี ฟอร์ แอล เอม จำกัด (มหาชน) หรือ EFORL ที่จะตระหนักเสียทีว่า “ทุกขลาภ” จากการเข้าซื้อกิจการเสริมความงาม ในเครือข่ายของ บริษัท ดับบลิวซีไอ โฮลดิ้ง จำกัด (WCIH) ซึ่งเป็นบริษัทแม่ของ บริษัท วุฒิศักดิ์ คลินิก อินเตอร์กรุ๊ป จำกัด (WCIG) นั้น สร้างปัญหาเดือดร้อนเกินกว่าจะทานทนต่อไป
ฟางเส้นสุดท้ายของ EFORL ในเรื่องดังกล่าว คือ การที่ WCIH ผิดนัดชำระหนี้ตั๋วแลกเงินที่ครบกำหนดชำระเมื่อวันที่ 16 มีนาคม 2560 จำนวน 150 ล้านบาท กับ บลจ.โซลาริส จำกัด เจ้าเก่ารายเดิมที่ถูกเบี้ยวนหนี้มาหลายรายการใน 6 เดือนมานี้
งานนี้ ทำให้ภาพลักษณ์ของ EFORL เสียหายยับเยิน ทั้งที่หนี้ของบริษัทแม่เองยังชำระเรียบร้อยตามเงื่อนเวลา ไม่มีขาดมีเกิน เช่นล่าสุด เมื่อวันอังคารที่ 21 มีนาคมนี้เอง EFORL ก็เพิ่งจะชำระหนี้ตั๋วแลกเงินและไถ่ถอนตั๋วแลกเงินเลขที่ EFORL017/2016 มูลค่าหน้าตั๋ว 30 ล้านบาท ซึ่งครบกำหนดชำระเรียบร้อย โดยใช้เงินจากสถาบันหลัก
นี่ไม่ใช่ครั้งแรก เพราะต้นปีนี้ ก็มีข่าวร้ายจาก บลจ.โซลาริส จำกัด แจ้งต่อนักลงทุนว่า EFORL ไม่สามารถชำระคืนตั๋วแลกเงินมูลค่าหน้าตั๋ว 200 ล้านบาท ในวันที่ 12 มกราคม 2560 ได้
ผลลัพธ์คือ ราคาหุ้นของ EFORL วันที่ 13 มกราคม 2560 ที่เดิมก็ต่ำเลวร้ายเข้าขั้น “มารเรียกลุง” กลายเป็นหุ้น “มารเรียกป๋า” จากการร่วงแรง เมื่อเปิดตลาด 12.90% ต้องออกมากล้อมแกล้มแก้ตัวในเวลาต่อมาว่า การที่ไม่ได้ชำระคืนตั๋ว ถือเป็น “ความผิดพลาดทางเทคนิค” เพราะ บลจ.โซลาริสได้แจ้งบริษัทอย่างกะทันหันเกินไป ทำให้บริษัทจัดหาแหล่งเงินไม่ทัน
ครั้งนี้ต่างออกไปตรงที่ว่า ปัญหาผิดนัดชำระหนี้ เกิดจาก “ลูกบุญธรรม” อย่าง WCIH ที่ซื้อกิจการเข้ามา มีปัญหาการเงิน จะให้แม่ไม่สะเทือนคงเป็นไปได้ยาก…พูดไปก็มีแต่คนส่ายหน้าเป็นพัดลมหน้าร้อน
ข้ออ้างของนายธีรวุทธ์ที่ว่า “…ไม่ได้มีผลกระทบต่อ EFORL ที่เป็นบริษัทแม่แต่ประการใด เนื่องจากมีการบริหารการจัดการและหนี้ที่เกิดขึ้นเป็นคนละส่วนกัน…” จึงเบาหวิวยิ่งกว่า “ขนเป็ด”
ดังที่ทราบกันดี นับตั้งแต่ผู้บริหารของ EFORL ตัดสินใจกู้เงินมากว่า 2 พันล้านบาทจากธนาคารกสิกรไทย เพื่อทุ่มซื้อกิจการของ WCIH ที่มี “วุฒิศักดิ์ คลินิก” อยู่ใต้ร่มธง โดยหวังว่าจะสร้างโมเดลธุรกิจเติบโตทางลัดสามารถทำให้ราคาหุ้นของ EFORL หวือหวาเป็นที่นิยมของแมงเม่า วิ่งขึ้นไปสูงสุดที่ระดับ 2 บาท ในปี 2557 แต่ก็ถดถอยลงต่อเนื่องเพราะกำไรที่พลาดเป้าต่อเนื่อง จนถึงขั้นขาดทุนหนักในปี 2559 ต้องทำการเพิ่มทุนเมื่อต้นปีนี้ เพราะเงินที่ได้จากการแปลงสภาพวอร์แรนต์เมื่อกลางปี 2559 ไม่เพียงพอ
สาเหตุหลัก ล้วนมาจาก วุฒิศักดิ์ คลินิก ที่เคยถูกคาดหวังว่าจะเป็น “ไข่ทองคำ”…ได้กลายเป็น “ไข่เน่า” เพราะการลดลงของรายได้และกำไร…เปลี่ยนเป็น “ลูกล้างลูกผลาญ” โดยปริยาย
ความหวังลมๆ แล้งๆ ของนายธีรวุทธิ์ ที่พยายามเสนอต่อนักลงทุน บังเกิดผลลัพธ์เดียว …ผิดหวังซ้ำซาก
ทางออกที่แก้ขัดเฉพาะหน้าในยามยาก ได้เคยเกิดขึ้นไปแล้วนั่นคือ เมื่อวันที่ 28 กุมภาพันธ์ที่ผ่านมา คณะกรรมการEFORL มีมติอนุมัติลดทุนจดทะเบียนเดิมที่ยังไม่ได้จำหน่ายออก และให้เพิ่มทุนจดทะเบียนใหม่กว่า 50% เป็น 1,600 ล้านบาท จากเดิม 1,030 ล้านบาท โดยออกหุ้นใหม่ 7,510 ล้านหุ้น มูลค่าที่ตราไว้ (พาร์) หุ้นละ 0.075 บาท
หุ้นเพิ่มทุนใหม่ดังกล่าว จะจัดสรรหุ้นไม่เกิน 4,600 ล้านหุ้นเสนอขายผู้ถือหุ้นเดิมตามสัดส่วน 3 หุ้นเดิม ต่อ 1 หุ้นใหม่ ที่ราคาหุ้นละ 0.14 บาท รวมถึงจะจัดสรรหุ้นเพิ่มทุนไม่เกิน 1,380 ล้านหุ้น รองรับการแปลงสภาพของใบสำคัญแสดงสิทธิที่จะซื้อหุ้นสามัญ (วอร์แรนต์) EFORL-W3 ที่จะออกไม่เกิน 1,380 ล้านหน่วย อายุ 3 ปี จัดสรรให้ฟรีแก่ผู้ถือหุ้นเดิมอัตราส่วน 10 หุ้นเดิมต่อ 1 วอร์แรนต์ มีอัตราการใช้สิทธิ 1 วอร์แรนต์ ต่อ 1 หุ้นใหม่ ที่ราคาหุ้นละ 0.60 บาท
อีกทั้งหุ้นเพิ่มทุนไม่เกิน 1,530 ล้านหุ้น จะใช้รองรับการแปลงสภาพของ EFORL-W4 ที่จะออกไม่เกิน 1,530 ล้านหน่วย อายุ 3 ปี จัดสรรให้ฟรีแก่ผู้ถือหุ้นเดิมที่จองซื้อหุ้นเพิ่มทุน ในอัตราส่วน 3 หุ้นใหม่ต่อ 1 วอร์แรนต์ มีอัตราการใช้สิทธิ ที่ราคาหุ้นละ 0.50 บาท
มติครั้งนั้น ยังรวมถึงการปรับเปลี่ยนโครงสร้างการบริหารการจัดการในคณะกรรมการของกลุ่มบริษัทวุฒิศักดิ์ทั้งหมด นำโดยดร.สุรเกียรติ์ เสถียรไทย ทำหน้าที่เป็นแม่ทัพในฐานะประธานของกลุ่มวุฒิศักดิ์ทั้งหมด
การ “แก้ผ้าเอาหน้ารอด” ดังกล่าว ไม่เพียงพอ ตราบใดที่ “ลูกล้างลูกผลาญ” ยังอยู่ในชายคาบ้าน
ล่าสุดนายธีรวุทธิ์ออกมายอมรับเสียทีว่า EFORL วางแผนที่จะลดสัดส่วนการถือหุ้นลงจากปัจจุบันที่ถือในสัดส่วน 50.17% ซึ่งขณะนี้อยู่ระหว่างการเจรจาร่วมกับพันธมิตรมากกว่า 2 ราย ที่สนใจเข้าลงทุนใน WCIG คาดว่าจะได้ข้อสรุปเร็วๆ นี้
พูดง่ายๆ ว่า “หมดแรงปั้นต่อ เพราะเหลือเข็น” …งั้นเถอะ
นายธีรวุทธิ์ คงต้องกลับไปท่องจำทุภาษิตโบราณทางล้านนาที่ว่า “อย่าเอาลูกเขามาเลี้ยง อย่าเอาเมี่ยงเขามาอม” ได้ขึ้นใจ ก็คราวนี้
อิ อิ อิ