ซังกะตาย

*บรรยากาศการลงทุนในตลาดหุ้นไทยวานนี้ยังคงซึมกะทือเงียบเหงาเหมือนความรักของ “โมนิก้า” ที่แม้เวลาผ่านไปทุกนาทีก็ยังไม่กล้าตัดสินใจมอบให้ใครได้ทั้งหมด โดยเฉพาะเรื่องวุ่นๆ ทั้งหลายทั้งปวงในช่วงที่ผ่านมา ถือเป็นอีกบทเรียนสำคัญที่สอนให้เดี๊ยนพึงสำเหนียกตัวเองตลอดเวลาว่า ไม่ใช่ทุกคนจะยอมรับความรักอันแสนบริสุทธิ์ของเราอย่างแท้จริงยังไงล่ะค่ะ


เจาะกระดาน : โมนิก้าและทีมงาน

 

*บรรยากาศการลงทุนในตลาดหุ้นไทยวานนี้ยังคงซึมกะทือเงียบเหงาเหมือนความรักของ โมนิก้า ที่แม้เวลาผ่านไปทุกนาทีก็ยังไม่กล้าตัดสินใจมอบให้ใครได้ทั้งหมด โดยเฉพาะเรื่องวุ่นๆ ทั้งหลายทั้งปวงในช่วงที่ผ่านมา ถือเป็นอีกบทเรียนสำคัญที่สอนให้เดี๊ยนพึงสำเหนียกตัวเองตลอดเวลาว่า ไม่ใช่ทุกคนจะยอมรับความรักอันแสนบริสุทธิ์ของเราอย่างแท้จริงยังไงล่ะค่ะ

*การเคลื่อนไหวอย่างจำกัดจำเขี่ยของดัชนีถือว่าโล้ไปตามมูลค่าการซื้อขายที่เบาบางดั่งออกซิเจนบนยอดดอย โดยยังไม่มีปัจจัยสนับสนุนใดที่จะเข้ามากระตุ้นอารมณ์ร่วมของนักเล่นได้อย่างจริงจังซักเท่าไหร่ มิหนำซ้ำยังมีข่าวคราวเรื่องการสอดใส่…อุ๊ย…สอดไส้ร่างกฎหมาย บรรษัทน้ำมันแห่งชาติให้สนช.พิจารณาอีกแบบนี้ สงสัยรัฐบาลทีมลุงตู่คงไม่ว่างมาดูเรื่องผลักดันเศรษฐกิจด้วยวิธีค้าขายสักเท่าไหร่

*ด้วยภาวะซังกะตายเช่นนี้ มิตรรักแฟนเพลงของ “โมนิก้า” ถึงได้เห็นดัชนีลงมาปิดที่ 1,570.50 จุด ปรับตัวลง 3.01 จุด หรือลดลง 0.19% ด้วยมูลค่า 3.09 หมื่นล้านบาท ซึ่งในแง่ของการซื้อขายคงพูดเป็นอื่นใดไม่ได้ นอกจากเหือดแห้งจนรู้สึกน่าใจหาย หรือที่ว่าตลาดหุ้นซบเซาเพราะ “ดาวโจนส์เอฟเฟ็กต์” จะเป็นจริงขึ้นมา! เรื่องนี้เดี๊ยนไม่ขอออกความเห็นแล้วกันนะคะ

*แต่เมื่อลงมาดูบัญชีซื้อขายแบบแยกเป็นรายกลุ่ม “โมนิก้า” รู้สึกโล่งอกเป็นอย่างมาก เพราะถึงแม้ใครจะบอกว่าปัญหารอบด้านต่างๆ ที่เกิดขึ้นมีสาเหตุมาจากคนสกุล “ทรัมป์” แต่ก็เพราะอีตาคนนี้นั่นแหละค่ะ ที่ถือว่ายังมีส่วนช่วยให้เม็ดเงินต่างชาติไหลเข้ามาประคับประคองหุ้นไทย ไม่ให้ถูกแรงกระเพื่อมจากแรงขายของกองทุนตัวแสบมากจนเกินไปนัก ส่วนที่ว่าระยะยาวอาจกลายเป็นกับดักได้นั้น “โมนิก้า” มองเป็นเรื่องของอนาคต ซึ่งงานนี้คงต้องวัดกึ๋นกันหน่อยว่า ผู้มีส่วนเกี่ยวข้องจะมีปัญญาหาวิธีตั้งรับกันท่าไหนอย่างไรยังไงล่ะจ๊ะ อิอิอิ

*มากันที่หุ้นตัวแรกเดี๊ยนแนะนำให้จับตา KSL ที่ดูเหมือนจะหวานสุดในกลุ่มหุ้นน้ำตาลวานนี้ลากมาปิดที่ 6.10 บาท บวกไป 0.20 บาท ด้วยมูลค่าซื้อขาย 99.41 ล้านบาท ประเด็นเก็งกำไรคงหนีไม่พ้นการเทิร์นอะราวด์ของธุรกิจ ด้วยทิศทางราคาน้ำตาลโลกที่ดีวันดีคืน แถมแนวโน้มธุรกิจเอทานอลและพลังงานเริ่มฟื้นตัวแบบนี้จึงเป็นที่คาดการณ์กันว่าบริษัทจะมีกำไรเติบโตอย่างก้าวกระโดดในปีนี้และปีถัดไป ด้านราคาเป้าหมายแล้วยังมีอัพไซด์ให้เล่นอีกเหลือเฟือรู้แบบนี้แล้วใครชอบของหวานก็จัดไปอย่าให้เสียนะเจ้าค่ะ!

*ข้ามมาดูทางฝั่ง ESSO หลังจากผ่านพ้นกระแสข่าวลือการเทกโอเวอร์ที่ทำให้ราคาพี่เสือสวิงไปมาให้บรรดาพี่เม่าดี๊ด๊าเริงร่าอยู่พักใหญ่ถึงขนาดเป็น ทอล์กออฟเดอะทาวน์ราคาก็กลับไปนอนสงบนิ่งตามเดิมมาอยู่ที่ 11.10 บาท มูลค่าซื้อขายที่ 176.45 ล้านบาท แต่ “โมนิก้า” ยังมองเห็นแสงสว่างถึงประเด็นการจะกลับมาฟู่ฟ่าอีกครั้ง ด้วยพื้นฐานที่ยังแกร่ง แถม PE ยังต่ำสุดในกลุ่มโรงกลั่น ก็ถือว่าเป็นหุ้นที่น่าสนใจอีกตัวหนึ่งให้ได้เข้าลงทุนกัน เห็นปัจจัยบวกแล้วเดี๊ยนมองว่าอีกไม่นานหุ้นเตรียมพุ่งกระฉูดแน่ๆๆ เจ้าค่ะ

*มาดูที่กลุ่มเดินเรืออินเทรนด์กระแสเทิร์นอะราวด์ไม่แพ้กัน ราคาปรับขึ้นยกแผงทั้ง TTA, PSL, RCL และ JUTHA ประเด็นหลักๆ ที่ขับเคลื่อนราคากลุ่มนี้ไม่พ้นค่าระวางเรือ (BDI) ที่เริ่มฟื้นตัว แต่ที่น่าสนใจคือผลประกอบการของบริษัทซึ่งเมื่อเจาะไปที่หุ้นรายตัว TTA ซึ่งราคาปิดที่ 10.00 บาท บวกไป 0.15 บาท มูลค่าซื้อขาย 103.83 ล้านบาท ดูแล้วมีภาษีมากที่สุด และมีโอกาสที่จะกลับมาพลิกทำกำไรได้อีกครั้งในปีนี้ ขณะที่ธุรกิจอื่นๆ นอกจากเรือเทกอง ยังมีโอกาสเพิ่มรายได้ให้กับบริษัท กระแสดีแบบนี้ “โมนิก้า” ก็ได้แต่หวังว่าจะไม่ล่มปากอ่าวกันนะเจ้าค่ะ อิอิอิ..

*ส่วนในรายของ SEAFCO ราคาปรับตัวขึ้นมาแล้วกว่า 2 สัปดาห์ ด้วยวอลุ่มที่หนาแน่น โดยวานนี้กระชากตัวขึ้นมาปิดที่ 11.70 บาท บวกไป 0.50 บาท หรือขึ้นไป 4.46% ด้วยมูลค่า 63.39 ล้านบาท “โมนิก้า” มองว่าปีนี้เป็นยุคเฟื่องฟูของธุรกิจฐานรากหลังภาครัฐ-เอกชนผุดโครงการใหม่ออกมาเป็นดอกเห็ด แถมแว่วๆ มาว่า รายได้ปีนี้จะทุบสถิติใหม่ด้วย เห็นข่าวดีแน่นหนาแบบนี้แล้วราคาน่าจะไปถึง 13 บาทได้ไม่ยากนะเจ้าค่ะ

*มากันที่หุ้นสตอรี่ดีอีกหนึ่งตัวอย่าง SAMTEL ที่ดูเหมือนทางเทคนิคจะเป็นขาขึ้นต่อได้อีก มองดูแล้วมีลุ้นทะลุแนวต้านเดิมที่ 12.90 บาท ล่าสุดวานนี้ราคาหุ้นปิดที่ 12.90 บาท บวกไป 0.60 บาท หรือ 4.88% ด้วยมูลค่าซื้อขาย 46.38 ล้านบาท ฟากแนวโน้มผลการดำเนินงานปีนี้ก็สดใส แถมมีพรายกระซิบบอกมาว่าปีนี้มีลุ้นเซ็นสัญญางานใหม่กว่า 1.3 หมื่นล้าน แหม….ถ้าทำได้อย่างที่ว่าจริงปีนี้คงเป็นปีทองของ SAMTEL แน่ล่ะเจ้าค่ะ

*ด้านหุ้น BDMS หลังจากซุ่มเงียบมานาน ล่าสุดราคาหุ้นทะยานขึ้นมาได้กว่า 1 สัปดาห์ โดยวานนี้มาปิดที่  21.00 บาท บวกไป 0.10 บาท หรือ 0.48% ด้วยมูลค่าซื้อขาย 369.42 ล้านบาท สำหรับใครที่เฝ้ามองหุ้นตัวนี้ขอบอกเลยว่ามีลุ้นที่จะไปต่อได้อีกจากแรงส่ง “window dressing” ที่มักจะเกิดกับหุ้นใหญ่ที่ราคายังไปได้ไม่ไกล แถมหุ้นตัวนี้ก็มีพื้นฐานที่แน่นเอี้ยด! เดี๊ยนมองว่าน่าจะเป็นที่หมายปองของกองทุนและขาใหญ่ภายในสัปดาห์นี้แน่นอนเจ้าค่ะ

*ปิดท้ายไม่พูดถึงเห็นทีจะไม่ได้ สำหรับหุ้นรีซูมเทรดอย่าง APX ที่ถูกสั่งพักยาวกว่า 17 ปี วานนี้ก็ได้เวลาคืนสังเวียนตลาดหุ้นอีกครั้ง โดยเปิดตัวที่ 2.12 บาท ก่อนจะถูกนักลงทุนขาโหดตะลุมบอนเล่นกันเลือดสาด เหตุเพราะไม่มี floor ไม่มี ceiling สุดท้ายราคาหุ้นเลยหล่นตุ้บลงมาปิดที่ 0.96 บาท สูงสุดที่ 2.20 บาท ต่ำสุดที่ 0.95 บาท มูลค่าซื้อขายแตะ 1.21 พันล้านบาท นี่แค่วันแรกก็โดนซัดจนหน้าหงายขนาดนี้ “โมนิก้า” ถึงกับยกมือกุมขมับเลยเจ้าค่ะ

Back to top button