พาราสาวะถีอรชุน

เขาว่ามาอย่างนั้นก็คงต้องทำตาม แต่ไม่รู้ว่าแกนนำนปช.จะเชื่อหรือไม่หลัง วินธัย สุวารี ยกเหตุผลสารพัดไม่ให้คนเสื้อแดงจัดงานทำบุญอุทิศส่วนกุศลให้กับแนวร่วมที่เสียชีวิตจากเหตุสลายการชุมนุมเมื่อวันที่ 10 เมษายน 2553 ในวันที่ 10 ซึ่งจะถึงนี้ โดยบอกว่าให้ญาติแต่ละรายกลับไปทำบุญตามภูมิลำเนาและคนที่จะจัดงานก็ฝากกันไป

ในมุมที่วินธัยอธิบายคือ พื้นที่จัดงานยังเป็นพื้นที่เชิงสัญลักษณ์ เกรงว่าจะเกิดเหตุไม่ถึงประสงค์ คงจะหาข้ออ้างที่จะมาทำให้ฟังดูสมเหตุสมผล ส่วนคนทั่วไปจะเชื่อตามนั้นหรือไม่ คงจะห้ามความคิดใครไม่ได้ พอจะเข้าใจในแง่ความรู้สึกของทหารในฐานะผู้ปฏิบัติการณ์ในวันนั้นเมื่อ 5 ปีที่ผ่านมา ถือเป็นความเจ็บปวดของทั้งผู้สั่งการและเจ้าหน้าที่ปฏิบัติไม่น้อย

มีปมบางอย่างที่เชื่อว่าคสช.เองก็ไม่สามารถที่จะอธิบายได้กับการไม่ยอมให้จัดงานทำบุญ ซึ่งดูแนวโน้มแล้วแกนนำนปช.คงไม่ต่อกรอะไรด้วย เพราะยามนี้ประเด็นไหนเป็นเรื่องที่เกี่ยวข้องกับกระบวนการประชาธิปไตยแล้วถูกฝ่ายผู้มีอำนาจปฏิเสธ ความเสียหายก็จะเกิดขึ้นฝ่ายสั่งการเอง โดยเฉพาะในสายตาของต่างชาติ

ความพยายามในการที่จะผูกมิตรต่างประเทศ เพื่อมางัดง้างกับปฏิกิริยาต่อต้านจากสหรัฐอเมริกาและยุโรป จากเดิมเริ่มที่จีนแล้วตามง้อญี่ปุ่น เวลานี้ยื่นมือไปที่รัสเซีย ด้วยการเชิญ วลาดิเมียร์ ปูติน ผู้นำหมีขาวมาเยือนไทยอย่างเป็นทางการ ซึ่งคงต้องระมัดระวังว่า สิ่งที่ลงทุนไปนั้นได้คุ้มเสียหรือไม่ ยิ่งในมุมของเศรษฐกิจ

แต่ดูท่าว่าทีมเศรษฐกิจของรัฐบาลนี้จะไม่ได้อินังขังขอบต่อข้อครหาหรือท่าทีต่อต้านใดๆ เพราะล่าสุด หม่อมราชวงศ์ปรีดิยาธร เทวกุล หัวหน้าทีมเพิ่งออกมาบอกว่า สาเหตุที่ส่งออกลดลงอย่างมากนั้นเป็นเพราะเศรษฐกิจโลกยังไม่ฟื้น ส่วนเศรษฐกิจที่เติบโตได้ต่ำกว่าเป้าเป็นเพราะผลงานของรัฐบาลที่ผ่านมา ชี้เป้าไปที่การขึ้นค่าแรงขั้นต่ำเป็นวันละ 300 บาท

ง่ายเหลือเกิน หากจะเดินกันแนวนี้ก็ไม่ต้องทำอะไรทั้งสิ้น ส่วนไหนที่เสียหายก็โทษว่าเป็นความไม่เอาไหนของรัฐบาลยิ่งลักษณ์ ชินวัตร มันง่ายดีแต่ไม่รู้ว่าคนส่วนใหญ่เขาจะมองเป็นเรื่อง“มักง่าย” หรือเปล่า ทั้งๆ ที่เอาเข้าจริงแล้ว หม่อมอุ๋ยคงลืมไปว่ารัฐบาลเก่านั้นพ้นจากตำแหน่งไปปีกว่าแล้ว หากนับตั้งแต่การยุบสภาไม่รวมการรัฐประหาร

ที่สำคัญคือ การยึดอำนาจดำเนินการมาจะครบปีอยู่แล้ว ทุกอย่างเป็นการใช้อำนาจแบบเบ็ดเสร็จเด็ดขาด จึงมองไม่เห็นว่า จะมีมุมไหนที่จะโยนบาปไปให้รัฐบาลก่อน ทางที่ดีน่าจะยอมมาตรงๆ ว่า โจทย์เศรษฐกิจเวลานี้มันยากขึ้น ขณะที่อีกด้านก็ถูกหลายประเทศต่อต้านเรื่องการไม่รับอำนาจรัฐประหาร ทำให้การทำมาค้าขายไม่คล่อง

ต้องกล้าที่จะพูดความจริง เพราะความจริงอีกด้านแม้กระทั่งคนที่เคยยกมือเชียร์ม็อบกปปส.ต่อเนื่องมาจนหนุนการยึดอำนาจของคสช. พอค้าขายไม่ได้ ก็หันกลับมาด่าทอต่อความไร้ฝีมือในการบริหารของทีมงานด้านเศรษฐกิจของรัฐบาล หากยังบริหารจัดการกันด้วยวิธีนี้ โดยที่ พลเอกประยุทธ์ จันทร์โอชา ยังใจดีไม่ยอมปรับเปลี่ยน บอกได้คำเดียวว่ามีแต่สาละวันเตี้ยลง

หลายคนยังคงสงสัยเกี่ยวกับคำทำนายของโหรคมช. ถ้าตัดในแง่ของดวงดาวและโหราศาสตร์ออกไป มีปัจจัยไหนบ้างที่จะทำให้บิ๊กตู่อยู่ในอำนาจเกินกว่าโรดแม็พที่วางไว้ ปัจจัยคงมีอยู่เรื่องเดียวเหมือนอย่างที่ ดิเรก ถึงฝั่ง สมาชิกสปช.บอกไว้คือ การร่างรัฐธรรมนูญ ที่จะเป็นตัวฉุดทำให้ทุกอย่างไม่สามารถเดินตามกรอบเวลาได้

ประการแรก หากยกร่างกันเสร็จสรรพเรียบร้อยแล้วปรากฏว่า สมาชิกสปช.ลงมติไม่เห็นด้วยกับสิ่งที่ทำกันมา จะต้องไปตั้งต้นกระบวนการยกร่างกันใหม่ ถามว่าคนส่วนใหญ่ยิ่งฝ่ายประชาธิปไตยยอมรับกันได้หรือไม่ และการใช้มาตรา 44 ของหัวหน้าคสช.จะสามารถสะกดแรงกระเพื่อมที่จะตามมาได้หรือเปล่า ถ้าทำได้ จะอยู่กันอย่างไรแต่ได้อยู่ในอำนาจนานแน่

อีกประการคือ ร่างรัฐธรรมนูญผ่านกระบวนการต่างๆ ไปแล้ว แต่ต้องทำประชามติ ถ้าประชาชนส่วนใหญ่ลงมติไม่รับร่างผลที่จะตามมาต้องเป็นอย่างไร ซึ่งในเบื้องต้นก็บอกว่าต้องยกร่างกันใหม่ แล้วต้องใช้คณะกรรมาธิการยกร่างฯ ชุดเดิมหรือตั้งกันใหม่ ย้อนกลับไปว่าคนส่วนใหญ่ยังให้โอกาสไหม นั่นก็เป็นอีกปัจจัยที่จะทำให้ต้องใช้อำนาจพิเศษและอยู่ยาว

ถ้าถอดรหัสจากคำพูดของรองโฆษกรัฐบาล สรรเสริญ แก้วกำเนิด เมื่อสุดสัปดาห์ที่ผ่านมาก็น่าคิดไม่น้อย เพราะบอกว่านายกฯ ตั้งใจจะอยู่ทำหน้าที่ตามโรดแม็พ แต่หากทุกอย่างยังไม่เรียบร้อยก็จำเป็นที่จะต้องยืนเคียงข้างประชาชนต่อไปจนทุกอย่างจะสงบเรียบร้อย เหตุผลที่ฟังดูดีและอ้างประชาชนเช่นนี้ เป็นสิ่งที่ผู้มีอำนาจเบ็ดเสร็จเด็ดขาดชอบใช้เป็นประจำ

ขณะเดียวกันต้องไม่ลืมว่า องคาพยพแม่น้ำ 5 สายยกเว้นคณะกรรมาธิการยกร่างรัฐธรรมนูญ ที่มีผลผูกพันตามรัฐธรรมนูญชั่วคราวห้ามข้องเกี่ยวกับอำนาจหลังรัฐธรรมนูญฉบับใหม่มีผลบังคับใช้ ยังคงพอใจและอยากที่จะอยู่ในอำนาจต่อไป อาจเป็นปัจจัยที่ทำให้เกิดความพลิกผันได้ตลอดเวลา เพราะคนเหล่านี้คือพวกไม่ยอมลงทุนที่จะต้องผ่านกระบวนการเลือกตั้งตามครรลองประชาธิปไตยอยู่แล้ว

ส่วนประเด็นว่าแล้วไม่กลัวเสียงครหาจากประชาชนหรืออย่างไร การตั้งลูกเมียและเครือญาติเข้ามาเป็นที่ปรึกษาและผู้เชี่ยวชาญประจำตัวของทั้งสนช.และสปช.ที่ผ่านมาคือบทพิสูจน์ อย่างที่บอกไว้ คนที่ยกตัวว่าเป็นคนดีจะมีคุณสมบัติพิเศษคืออย่างหนา จะสร้างวาทกรรมมาเป็นเกราะป้องกันตัวเองได้อย่างแนบเนียน ที่สำคัญเสียงวิจารณ์ก็จะเบาบางเพราะคนเหล่านั้นไม่ใช่เครือข่ายระบอบทักษิณ เวรกรรมประเทศไทย