โมเบียส กับหุ้นจีนพลวัต2015

มาร์ก โมเบียส ชื่อนี้คงไม่ต้องอธิบายความมากสำหรับนักลงทุนระดับเซียนเหยียบเมฆ เพราะกองทุนเฮดจ์ ฟันด์ขนาดใหญ่ของเขาในฮ่องกง ภายใต้บริษัท Templeton Emerging Markets Group ที่บริหารเงินของนักลงทุน 4 หมื่นล้านดอลลาร์สหรัฐ มีประสบการณ์โชกโชนจากตลาดหุ้นชาติกำลังพัฒนามากกว่า 30 ปีแล้ว


มาร์ก โมเบียส ชื่อนี้คงไม่ต้องอธิบายความมากสำหรับนักลงทุนระดับเซียนเหยียบเมฆ เพราะกองทุนเฮดจ์ ฟันด์ขนาดใหญ่ของเขาในฮ่องกง ภายใต้บริษัท Templeton Emerging Markets Group ที่บริหารเงินของนักลงทุน 4 หมื่นล้านดอลลาร์สหรัฐ มีประสบการณ์โชกโชนจากตลาดหุ้นชาติกำลังพัฒนามากกว่า 30 ปีแล้ว

ล่าสุด สัปดาห์นี้ โมเบียสออกมาตีโพยตีพายเป็นข่าวใหญ่ว่า ตลาดหุ้นจีนยามนี้ร้อนแรงเกินขนาด ควรจะปรับฐานลงมากกว่า 20% ถึงจะถือว่าราคาสมเหตุสมผล น่าลงทุนรอบใหม่

พูดอย่างนี้ หากพิจารณาจากปูมหลังของคนที่ผลประโยชน์แอบแฝงด้วย สามารถตีความสองอย่างว่า 1) โมเบียสขายหุ้นออกจากมือเรียบร้อยแล้ว จึงต้องการทุบหุ้นลง เพื่อกลับไปซื้ออีกครั้ง 2) กองทุนเขา ซื้อพอร์ตในตราสารอนุพันธ์เอาไว้แล้ว จึงต้องการทุบพอร์ตเพื่อเอากำไรช่วงขาลง

คงจะไม่มีใครไร้เดียงสาถึงขั้นตีความว่า โมเบียสเป็นนักบุญที่กลัวตลาดหุ้นเซี่ยงไฮ้จะพังเป็นแน่แท้ และโมเบียสก็คงไม่งี่เง่าถึงขั้นยอมรับการสถาปนาตนเองเป็นเช่นนั้น

ประเด็นสำคัญคือ สิ่งที่โมเบียสพูดเอาไว้เป็นข้อเท็จจริงที่ไม่อาจปฏิเสธได้ ดูจากกราฟที่ยกเอามาประกอบจะเห็นไดชัดว่า นับแต่เดือนตุลาคม 2557 ที่ดัชนี SSEC ของตลาดหุ้นเซี่ยงไฮ้ที่ระดับ 2,400 จุดได้ทะยานขึ้นมาที่ระดับปิดตลาดวานนี้ 3,995.50 จุด บวกมากถึง 66% หรือหากจะนับย้อนหลังไป 12 เดือน จะบวกแรงมากถึง 120% ทีเดียว

จุดที่ดัชนีตลาดเซี่ยงไฮ้ปิดตลาดเมื่อวานนี้ ไม่ใช่จุดนิวไฮของตลาด เป็นแค่จุดนิวไฮในรอบ 7 ปี 1 เดือน แต่ยังห่างไกลจากจุดสูงสุดที่เคยทำได้เมื่อเดือนตุลาคม 2550 คือ 6,030.09 จุด ซึ่งยังห่างไกลอีกมาก

การทะยานขึ้นภายใต้ช่วงเวลา 7 เดือนมากถึง 66% ถือได้ว่าตลาดหุ้นเซี่ยงไฮ้ร้อนแรงเกินขนาดจริงๆ หากพิจารณาจากข้อเท็จจริงที่ว่าเศรษฐกิจจีนกำลังอยู่ในช่วงดิ้นรนอยู่กับตัวเลขอัตราเติบโตที่ระดับ 7% เท่านั้นต่ำสุดในรอบ 3 ทศวรรษ ย่อมถือว่าภาวะกระทิงของตลาดหุ้นเซี่ยงไฮ้นั้น น่าเป็นห่วงจริง เพราะค่าพี/อีของตลาดล่าสุดอยู่ที่ระดับมากกว่า 25 เท่า ซึ่งแสดงว่า ราคาหุ้นโดยเฉลี่ยในตลาดเซี่ยงไฮ้สูงเกินจริง ไม่ใช่ข้อกล่าวหาที่เกินเลย

ตลาดที่ทะยานขึ้นมา 66% หากมีการปรับฐานไป 20% ก็เป็นสิ่งที่สมเหตุสมผล เพราะตลาดที่ร้อนแรงเกินขนาดนั้น มีโอกาสกลายเป็นตลาดฟองสบู่ที่พร้อมจะพังได้ตลอดเวลา กลไกในการทำให้ตลาดลดความร้อนแรงจึงมีความจำเป็น

หากพิจารณาจากเบื้องหลังของข้อเสนอของโมเบียส (โดยไม่คิดถึงผลประโยชน์ซ่อนเร้นซึ่งมีเป็นธรรมดา) จะเห็นได้ว่า เป็นความพยายามที่จะทำให้ตลาดเป็นมากกว่าการกลับคืนสติสัมปชัญญะ แต่ต้องการให้ผู้บริหารหรือผู้ที่เกี่ยวข้องกับตลาดหุ้นดังกล่าวค้นหาหรือสร้างเครื่องมือหรือกลไกลดความร้อนแรงของตลาดลงไปก่อนจะพัง แบบที่เคยเกิดขึ้นมาก่อนในช่วงปี 2551 ที่ดัชนีร่วงจากระดับเหนือ 6,030.90 จุด มาสู่ระดับ 1,706.70 จุด หรือ ร่วงลงมา 71.70% ต้องใช้เวลาเยียวยากันยาวนานถึง 6 ปี กว่าจะกลับมาร้อนแรงอีกครั้งในช่วง 7 เดือนนี้เอง ซึ่งไม่เป็นผลดีกับทุกฝ่าย

ดัชนีจะตลาดจะขึ้นหรือร่วง ไม่ใช่ปัญหา ตราบใดที่ตลาดยังไม่วาย จนนักลงทุนหนีหายไปหมด

หากพิจารณาข้อมูลที่ว่า ตัวเลขบัญชีนักลงทุนซื้อขายหุ้นในตลาดเซี่ยงไฮ้ปัจจุบัน 57.28 ล้านบัญชี (เทียบกับ 1 ล้านบัญชีในตลาดหุ้นไทย) โดยที่มีบัญชีซื้อขายบ่อย (แอ็คทีฟ แอคเคาท์) ที่เฉลี่ย 1.7 ล้านบัญชีต่อสัปดาห์ พร้อมกับมีวงเงินคงค้างในการซื้อขายด้วยบัญชีมาร์จิ้น 1.61 แสนล้านดอลลาร์สหรัฐ หรือ 1 ล้านล้านหยวน ก็จะเห็นว่า ความห่วงใยของโมเบียสนั้น สมเหตุสมผลอย่างมาก แม้จะแฝงด้วยประโยชน์ส่วนตัวอยู่ไม่น้อย

โดยข้อเท็จจริง ประสบการณ์ยาวนานของโมเบียส ย่อมรู้แก่ใจดีว่า ตลาดหุ้นหรือตลาดเก็งกำไรทุกประเภท มีทั้งความสี่ยงและโอกาสปะปนอยู่ด้วยกันตลอดเวลา และกองทุนของเขาก็เคยทั้งกำไรและขาดทุนมหาศาลมาแล้วเช่นกัน

ในช่วงวิกฤตต้มยำกุ้ง โมเบียสได้นำกองทุนในสังกัดของเขา เข้ามากว้านซื้อหุ้นธนาคารและบริษัท ปูนซิเมนต์ไทย จำกัด (มหาชน) ในราคาถูกแสนถูก แล้วทำกำไรมหาศาล จนนำกลับไปเขียนหนังสือ Passport to Proftit ให้คนไทยอิจฉาทั่วหน้า พร้อมกับสร้างกฎ 84 ข้อ ที่เรียกว่า Mobius’ Rule

ส่วนในปี 2557 ระหว่างการชุมนุมของ กปปส. โมเบียสก็ขนเงินเข้ามากว้านซื้อหุ้นไทยจำนวนมาก โดยอ้างเหตุผลว่า ราคาหุ้นในตลาดถูกถึง 10 เท่า เมื่อเทียบกับอัตรากำไรสุทธิต่อหุ้นบวกกับอัตราการปันผล ผลลัพธ์คือ ขาดทุนเละเทะ หลายพันล้านดอลลาร์ฮ่องกง

ประสบการณ์หลายหลาก ทำให้โมเบียสชอบพูดถึงกฎส่วนตัวของเขาในข้อ 56 ที่ว่า หากคุณเข้าไปลงทุนในตลาดที่บรรดานักลงทุนท้องถิ่นโอ้อวดว่า  “ตลาดหุ้นเราทำกำไรดีที่สุด ไม่มีใครเจ๋งกว่าตลาดนี้อีกแล้ว”  ถือเป็นเวลาเหมาะสมที่จะขายแบบล้างพอร์ตกันเลยทีเดียว

ใครจะเชื่อหรือไม่เชื่อ มาร์ก โมเบียส คงไม่กังขาใดๆ เพราะเขายืนยันว่า กำลังจะขนย้ายเงินไปซื้อหุ้นในเวียดนามและไนจีเรียแทน ส่วนตลาดไทยนั้น เขาไม่สนใจเลยในยามนี้

 

Back to top button