หุ้นร่วงวันบาทแข็ง

ความไม่สมเหตุสมผลของตลาดหุ้นยังคงดำเนินต่อไปวานนี้ แม้ว่าจะมีความพยายามหาเหตุผลมาอธิบายปรากฏการณ์ที่เกิดขึ้นอย่างเต็มที่แล้วก็ตาม


พลวัต ปี 2017 : วิษณุ โชลิตกุล

 

ความไม่สมเหตุสมผลของตลาดหุ้นยังคงดำเนินต่อไปวานนี้ แม้ว่าจะมีความพยายามหาเหตุผลมาอธิบายปรากฏการณ์ที่เกิดขึ้นอย่างเต็มที่แล้วก็ตาม

เมื่อวานนี้ ตลาดหุ้นไทยที่เข้าเขตซื้อมากเกินมาตั้งแต่ก่อนหยุดยาวสงกรานต์ เปิดตลาดวันแรกก็ร่วงแรงทันที แม้ว่าค่าเงินบาทเทียบดอลลาร์จะแข็งค่าที่สุดในรอบ 21 เดือน

ดัชนี SET เมื่อวานนี้ปิดตลาดช่วงบ่ายที่ระดับ 1,575.91 จุด ลดลง 13.59 จุด (-0.85%) ด้วยมูลค่าการซื้อขายเบาบางแค่ 2.78 หมื่นล้านบาท โดยที่นักวิเคราะห์ฯ สรุปว่า เกิดจากแรงกดดันหลักจากสถานการณ์ตึงเครียดในคาบสมุทรเกาหลี ขณะที่ปัจจัยในประเทศ ให้ติดตามการทยอยประกาศผลการดำเนินงานไตรมาสแรกของหุ้นในกลุ่มธนาคารพาณิชย์ ที่ต้องเร่งระดมประกาศให้จบในสัปดาห์นี้ พร้อมให้แนวรับระยะสั้นไว้ที่ 1,570 จุด

แรงกดดันจากคาบสมุทรเกาหลี เกิดจากการที่เกาหลีเหนือทำการทดสอบยิงขีปนาวุธครั้งใหม่ในวันชาติ แม้จะล้มเหลว แต่ก็ทำให้ท่าทีของผู้นำสหรัฐฯอย่างนายนายไมค์ เพนซ์ รองประธานาธิบดีสหรัฐกล่าวในระหว่างเดินทางเยือนเกาหลีใต้(ซึ่งเป็นส่วนหนึ่งในแผนการเดินทางเยือนเอเชียเป็นเวลา 10 วัน และจะเดินทางไปยังญี่ปุ่นในวันนี้) มีถ้อยคำแข็งกร้าวว่า ยุคแห่งการอดทนอดกลั้นในเชิงยุทธศาสตร์ต่อโครงการนิวเคลียร์ของเกาหลีเหนือนั้น ได้สิ้นสุดลงแล้ว และหลายฝ่ายอยู่ระหว่างการพิจารณาทุกทางเลือก เพื่อแก้ไขปัญหาการทดสอบนิวเคลียร์ของเกาหลีเหนือ แต่สหรัฐยังคงต้องการสันติวิธีเพื่อล้มเลิกโครงการนิวเคลียร์บริเวณคาบสมุทรเกาหลี

ความกังวลของนักลงทุนในเรื่องคาบสมุทรเกาลี อาจจะเป็นข้ออ้างที่อำพรางข้อเท็จจริงอื่นเท่านั้น เพราะโดยหลักการแล้ว ไม่น่าที่จะมีการทำสงครามเกิดขึ้น จากภาวะความขัดแย้งทางการเมืองระหว่างประเทศ เมื่อเปรียบเทียบกับบรรยากาศโดยรวมที่ทำให้นักลงทุนวิตกกังวลมากขึ้น เนื่องจากความผิดหวังที่เคยคาดการณ์ทางบวกมาหลายเดือนว่า สหรัฐภายใต้การนำของประธานาธิบดีโดนัลด์ ทรัมป์จะมุ่งเน้นสร้างมาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจและปฏิรูปภายในประเทศเป็นสำคัญ ในขณะที่อัตราดอกเบี้ยทั่วโลกเป็นขาขึ้น แต่กลับพบว่า ทรัมป์และทีมงานกลับเดินหน้าปฏิบัติการทางทหารที่อาจจะสร้างความไม่แน่นอนในสถานการณ์โลกโดยเฉพาะความเสี่ยงด้านสงคราม ซึ่งทำให้เป็นขีดจำกัดการไหลเวียนของกระแสเงินทุนในตลาดเกิดใหม่

ปัจจัยเสี่ยงของโลกที่เพิ่มขึ้น ทำให้ตลาดทองคำ พันธบัตร หุ้น และอัตราแลกเปลี่ยนเงินข้ามสกุล แปรผวนยากคาดเดา ทำให้วานนี้ค่าเงินบาทเทียบดอลลาร์ซื้อขายที่ระดับแข็งค่าสุดในรอบ 21 เดือน สืบเนื่องจากนโยบายของรัฐบาลทรัมป์ที่ยังคงสร้างความสับสนและกระตุ้นให้นักลงทุนเทขายเงินดอลลาร์อย่างต่อเนื่อง หลังประธานาธิบดีทรัมป์ให้สัมภาษณ์ว่าเงินดอลลาร์แข็งค่าเกินไปและกลับมาประกาศให้ธนาคารกลางสหรัฐ (เฟด) คงอัตราดอกเบี้ยอยู่ในระดับต่ำต่อไป แทนที่จะขึ้นดอกเบี้ย

การแข็งค่าขงเงินบาท ที่เกิดจากฟันด์โฟลว์ไหลเข้า ไม่สามารถอธิบายการขายสุทธิของต่างชาติในตลาดหุ้นไทยวานนี้ มากถึง 1,684.18 ล้านบาท เพิกเฉยต่อการประกาศงบการเงินของบรรดาสถาบันการเงินอย่างธนาคารพาณิชย์ที่ออกมาดีกว่าคาดดังเช่นกรณีของ กลุ่มทิสโก้ เผยผลการดำเนินงานไตรมาสแรกปีนี้กำไรสุทธิ 1.49 พันล้านบาท โตเกินคาด 18.8% เมื่อเทียบกับไตรมาสเดียวกันของปี 2559 อันเป็นผลจากการเติบโตของรายได้ดอกเบี้ยสุทธิ และการเพิ่มขึ้นของรายได้ค่าธรรมเนียม ประกอบกับการตั้งสำรองหนี้สูญที่ลดลงเมื่อเทียบกับช่วงเดียวกันของปีก่อนหน้า พร้อมกับคาดหมายว่า การดำเนินธุรกิจในไตรมาสที่ 2 ของปี 2560 นั้น กลุ่มทิสโก้ยังคงเดินหน้าขยายฐานลูกค้าทุกกลุ่มที่มากกว่าเดิมอีก

ขณะที่ บริษัทบัตรกรุงไทยจำกัด (มหาชน) หรือ KTC : ก็มีผลการดำเนินงานไตรมาสที่ 1 มากถึง 732.54 ล้านบาท เพิ่มขึ้นกว่า 14% จากระยะเดียวกันปีก่อนที่กำไรสุทธิ 635,01 ล้านบาท

จะมีเพียงธนาคารทหารไทย จำกัด (มหาชน) หรือ TMB ที่มีกำไรสุทธิมีกำไรสุทธิอยู่ที่ 2.1 พันล้านบาท ลดลง 2% จากไตรมาสก่อน แต่คงที่เมื่อเทียบกับไตรมาสเดียวกันของปีก่อน แม้ว่ากำไรก่อนสำรองเติบโตต่อเนื่อง 4% และคงสัดส่วน NPL ที่ระดับต่ำ 2.5% แม้ว่าสัดส่วนสำรองฯ ต่อ NPL ยังแข็งแกร่งที่ 144% กำไรสุทธิหลังสำรองไม่เปลี่ยนแปลงจากปีก่อน

ความไม่สมเหตุสมผลของตลาดหุ้นวานนี้ ยังคงจะดำเนินต่อไปตามปัจจัยแปรปรวนทั้งภายในและภายนอกของตลาดหุ้น เป็นเรื่องที่นักลงทุนต้องตั้งสติให้มั่นคง และทำความคุ้นเคยกันต่อไป เพื่อจะไม่ตกเป็นเหยื่อของสถานการณ์ เพราะมีทั้งปัจจัยบวกที่ซ่อนเร้นอำพรางปัจจัยลบเอาไว้มากมาย ตามเส้นทางที่ก้าวย่างไปข้างหน้า แม้ว่าอันตรายร้ายแรงในลักษณะวิกฤตแบบต้มยำกุ้ง จะยังไม่เกิดขึ้นจริงจัง

Back to top button