ขายเมื่อความจริงปรากฏ

*สถานการณ์ของตลาดหุ้นไทยในห้วงเวลานี้เต็มไปด้วยแรงเทขายที่พร้อมจะพรั่งพรูออกมาตลอดเวลา หากเห็นอะไรที่ไม่ชอบมาพากลขึ้นมากะทันหัน ส่งผลให้การขึ้นในแต่ละวันค่อนข้างลำบาก เพราะผู้เล่นเลือกเคาะซ้ายมากกว่าเคาะขวา บวกกับผลงานของบริษัทจดทะเบียนไม่ประทับใจจอร์จ ก็เลยทำให้บรรยากาศการลงทุนดูหนืดๆ เนือยๆ ชอบกลนะจะบอกให้


เจาะกระดาน : โมนิก้าและทีมงาน

*สถานการณ์ของตลาดหุ้นไทยในห้วงเวลานี้เต็มไปด้วยแรงเทขายที่พร้อมจะพรั่งพรูออกมาตลอดเวลา หากเห็นอะไรที่ไม่ชอบมาพากลขึ้นมากะทันหัน ส่งผลให้การขึ้นในแต่ละวันค่อนข้างลำบาก เพราะผู้เล่นเลือกเคาะซ้ายมากกว่าเคาะขวา บวกกับผลงานของบริษัทจดทะเบียนไม่ประทับใจจอร์จ ก็เลยทำให้บรรยากาศการลงทุนดูหนืดๆ เนือยๆ ชอบกลนะจะบอกให้

*เมื่อสถานการณ์ออกไปในโทน  “นิ่งสนิท เงียบสงัด” ก็อย่าไปดิ้นรนหาเรื่องเดือดเนื้อร้อนใจอะไรอีกเลย เพราะตลาดหุ้นกำลังอยู่ในช่วงของ sell all fact หรือขายเมื่อความจริงปรากฏ จึงไม่ควรตื่นเต้นกับอารมณ์ของหุ้นบางตัวมากเกินไป เพราะวันนี้ยังไม่มีหุ้นตัวไหนวิ่งขึ้นไปสร้างแนวรับใหม่ที่สูงกว่าเดิมได้สักตัว แถมหุ้นบางตัวก็รูดลงอย่างต่อเนื่องแบบไม่รู้สาเหตุ..ถอยก่อนดีกว่ามั้ง!

*เหตุดังกล่าวทำให้ “โมนิก้า” ต้องออกมาย้ำกับแฟนคลับว่า เมื่อตลาดหุ้นเดินต่อไม่ไหว ก็ไม่มีความจำเป็นต้องทู่ซี้ถือหุ้นต่อไปเรื่อยๆ เมื่อบวกกับการที่ดัชนียืนปิดได้แค่ 1,570.02  จุด บวกไป 3.74 จุด ด้วยมูลค่า 3.80 หมื่นล้านบาท มันเป็นลักษณะของการหมดแรงข้าวต้ม จึงได้เวลาพักฐานเอาแรงเพื่อรอจังหวะเหมาะๆ ในการเทคตัวขึ้นไปทดสอบแนวต้าน 1,600 จุดอีกครั้งเจ้าค่ะ

*ประเด็นนี้คล้ายคลึงกับเหตุการณ์ของ AOT เทคตัวไม่ผ่านแนวต้าน 42 บาท ก็ไม่ใช่เรื่องแปลกแต่อย่างใด เพราะของมันเห็นกันอยู่แล้วว่า ที่ผ่านมาก็เป็นแบบนี้! จึงเป็นจังหวะของการถอยไปตั้งรับ เพราะราคาปิดที่ 41.25 บาท ด้วยมูลค่า 1.77  พันล้านบาท มันเป็นระดับที่สูงเกินไปนิดหนึ่ง ยกเว้นนักเล่นเชื่อว่า วันนี้จะมีแรงซื้อล็อตใหญ่เข้ามาดันหุ้นนะจ๊ะ

*เช่นเดียวกับในรายของ IRPC เทคตัวขึ้นมาปิดที่ 5.35 บาท บวกไป 0.10 บาท ด้วยมูลค่า 1.16 พันล้านบาท ซึ่งเป็นการขึ้นมาทดสอบแนวต้าน 5.40 บาทอีกครั้ง และไม่สามารถฝ่าขึ้นไปได้อีกตามเคย “โมนิก้า” ถึงอยากให้นักเล่นลองกลับไปคิดกันว่า มันเป็นจังหวะของการ “ลุย” หรือ “ถอย” เพราะบางคนยังมีอารมณ์ค้างกับการเคาะขวารัวๆ เดี๊ยนถึงไม่อยากเข้าไปขัดจังหวะในช่วงที่กำลังเข้าด้ายเข้าเข็มนะซี

*เหมือนกับในรายของ BDMS ถูกถล่มเทขายอีกครั้ง จนหลุดแนวรับ 20 บาท ลงมาปิดที่ 19.90 บาท ลบไป0.10 บาท ด้วยมูลค่า 550 ล้านบาท “โมนิก้า” มองเป็นเรื่องผลงานไม่เปรี้ยงปร้างเหมือนแต่ก่อน บวกกับพวกกองทุนไม่ชายตามองแม้แต่นิดเดียว สถานการณ์ของหุ้นถึงดูย่ำแย่ลงไปอีกเรื่อยๆ บวกกับหุ้นยังเทรดอยู่ที่ค่า P/E 36 เท่า ยิ่งทำให้หุ้นมีความเสี่ยงสูงขึ้นไปอีกนะจะบอกให้

*ประเด็นดังกล่าวทำให้ “โมนิก้า” ต้องมองย้อนกลับไปยังเถ้าแก่น้อย TKN หลังถูกเทขายอย่างหนักหน่วงเป็นเวลา 5 วันติด จนล่าสุดลงมาปิดที่ 23.30 บาท ลบไป 1.95 บาท หรือลงไป 7.70% ด้วยมูลค่า 760 ล้านบาท เหมือนเป็นการตอกย้ำว่า หากกำไรวิ่งไม่ทันราคาหุ้น สุดท้ายก็จะเป็นราคาหุ้นที่ทรุดตัวลงเอง และเรื่องนี้ก็ดูได้จากค่า P/E 44 เท่า มันฟ้องว่าหุ้นมีโอกาสลงไปอีกพะยะค่ะ

*อีกหนึ่งรายที่ถูกปั่นขึ้นมาจนโอเวอร์รีแอค ก่อนจะโดนสาดทิ้งอย่างไม่มีเยื้อใยอย่างเช่นหุ้น KWG ก็อยู่ในข่าย “ไปไม่กลับ หลับไม่ตื่น” เนื่องจากแรงเทขายยังไม่มีทีท่าเบาบางลงแต่อย่างใด หุ้นถึงทรุดตัวลงมายืนอยู่ที่ 4.50 บาท ลบไป 0.28 บาท หรือลงไป 5.90% “โมนิก้า” จึงขอยกเป็นกรณีศึกษาที่นักเล่นต้องหัดทำตัวให้ไวต่อเหตุการณ์ เพราะหุ้นที่มาด้วยแรงเก็งกำไรล้วนๆ สุดท้ายก็จากไปแบบไม่เหลืออะไรเจ้าค่ะ

*สำหรับในรายของ SUPER อาจเป็นกรณียกเว้น เพราะการทะยานขึ้นในเที่ยวนี้มาด้วยสตอรี่ตั้งกองทุนโครงสร้างพื้นฐาน ซึ่งเป็นการเพิ่มความคล่องตัวให้การลงทุนในอนาคต แวลูของหุ้นถึงสูงขึ้นอย่างมีนัยสำคัญ และเป็นตัวการหลักที่ทำให้หุ้นวิ่งขึ้นมาปิดที่ 1.55 บาท บวกไป 0.08 บาท หรือขึ้นไป 5.40% ด้วยมูลค่า 1.13 พันล้านบาท ส่วนจะขึ้นไปถึงยอดเก่าที่บริเวณ 1.80 บาทหรือเปล่า? ต้องติดตามดูกันเอาเองนะคะ

*เช่นเดียวกับในรายของ S กระชากขึ้นมาปิดที่ 5.15 บาท บวกไป 0.23 บาท หรือขึ้นไป 4.70% ด้วยมูลค่า 300 ล้านบาท “โมนิก้า” มองเป็นการเซ็ตเกมบุกรอบใหม่ และที่ผ่านมาก็พยายามปั้นเกมสวยๆ แต่สุดท้ายก็จอดไม่ต้องแจวทุกที แถมการขึ้นเที่ยวนี้แบกน้ำหนัก P/E 186 เท่า เดี๊ยนขอเรียนตามตรงว่า มองไม่เห็นโอกาสที่หุ้นจะทะยานขึ้นยาวๆ หรือใครเห็นต่างก็ไม่ว่าอะไรเจ้าค่ะ

*ส่วนรายที่ตกอยู่ในที่นั่งลำบากเที่ยวนี้กลายเป็น KOOL หลังมีข่าวลือออกมาตลอดทั้งวันว่า โดนกรมศุลฯ เรียกเก็บภาษีย้อนหลังไม่ต่ำกว่า 15 ล้านบาท ซึ่งเป็นผลมาจากการหลบเลี่ยงภาษีนำเข้ามอเตอร์พัดลม พวกนกรู้ถึงพากันเทขายหุ้นทิ้งอุตลุด ส่งผลให้ราคาหุ้นรูดลงมากองอยู่ที่ 4.22 บาท ลบไป 0.64 บาท หรือลงไป 13% ด้วยมูลค่า 496 ล้านบาท จริงหรือไม่?..ลองไปสอบถามกันเอาเองนะจ๊ะ

Back to top button