พาราสาวะถี
ระเบิดในห้องวงษ์สุวรรณ โรงพยาบาลพระมงกุฎเกล้า วันวาน ส่งผลให้มีผู้บาดเจ็บ 24 ราย เป้าหมายแม้ทางฝ่ายความมั่นคงจะสรุปข่าว ไม่น่าจะเกี่ยวข้องกับวาระครบรอบ 3 ปีจากการยึดอำนาจของคสช. แต่ดูจากพฤติการณ์ของคนร้ายแล้ว มองเป็นอย่างอื่นไม่ได้ หากไม่ใช่ดิสเครดิตคสช. ทำลายความน่าเชื่อถือของรัฐบาล ก็ต้องเป็นการกระทบชิ่งไปยัง พลเอกประวิตร วงษ์สุวรรณ รองนายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีกลาโหม พี่ใหญ่แห่งบูรพาพยัคฆ์โดยตรง
อรชุน
ระเบิดในห้องวงษ์สุวรรณ โรงพยาบาลพระมงกุฎเกล้า วันวาน ส่งผลให้มีผู้บาดเจ็บ 24 ราย เป้าหมายแม้ทางฝ่ายความมั่นคงจะสรุปข่าว ไม่น่าจะเกี่ยวข้องกับวาระครบรอบ 3 ปีจากการยึดอำนาจของคสช. แต่ดูจากพฤติการณ์ของคนร้ายแล้ว มองเป็นอย่างอื่นไม่ได้ หากไม่ใช่ดิสเครดิตคสช. ทำลายความน่าเชื่อถือของรัฐบาล ก็ต้องเป็นการกระทบชิ่งไปยัง พลเอกประวิตร วงษ์สุวรรณ รองนายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีกลาโหม พี่ใหญ่แห่งบูรพาพยัคฆ์โดยตรง
การลงมืออุกอาจในสถานที่ซึ่งเป็นโรงพยาบาลต้องถูกประณาม ถือเป็นการกระทำที่ไร้ศีลธรรม ขัดกับกฎหมายมนุษยธรรมระหว่างประเทศ เพราะแม้แต่ในภาวะสงครามก็ไม่มีใครโจมตีโรงพยาบาล แต่ในทางการทำงานของเจ้าหน้าที่ทั้งฝ่ายความมั่นคงและการข่าว ต้องรีบสืบสวนสอบสวนเพื่อหาตัวผู้ก่อเหตุมาลงโทษให้ได้
ส่วนความเชื่อมโยงก็เหมือนอย่างที่ พลเอกเฉลิมชัย สิทธิสาท ผู้บัญชาการทหารบกแถลงหลังการประชุมด่วนหน่วยงานด้านความมั่นคง คนลงมือคือกลุ่มเดียวกันกับผู้ก่อเหตุระเบิดไปป์บอมบ์ที่หน้ากองสลากเก่า ถนนราชดำเนินและสดๆ ร้อนๆ ที่โรงละครแห่งชาติเมื่อสัปดาห์ที่ผ่านมา สิ่งที่น่ากังวลคือการกระทำเช่นนี้มันจะกระทบต่อความเชื่อมั่นและภาวการณ์ท่องเที่ยวที่กำลังสดใสของประเทศ
ต้องไม่ลืมว่า ในถ้อยแถลงของผบ.ทบ.ยอมรับว่า เหตุที่เกิดขึ้นยากต่อการป้องกัน เนื่องจากเป็นพื้นที่เปิด ประชาชนพลุกพล่าน การชี้เป้าว่ากลุ่มก่อเหตุมุ่งใช้สถานที่สาธารณะเป็นหลัก สิ่งที่จะตามมาคือ การเตือนพลเมืองของตัวเองจากประเทศต่างๆ ว่าให้ระมัดระวังในการเดินทางมาท่องเที่ยวในประเทศไทยหรือไม่ ตรงนี้น่าสนใจ
ไม่เพียงเท่านั้น จากบทสัมภาษณ์ของ ปณิธาน วัฒนายากร ที่ปรึกษารองนายกฯฝ่ายความมั่นคงก็ยอมรับโดยดุษณีว่า ผู้ลงมือก่อเหตุเป็นมืออาชีพ ดังนั้น มาตรการรับมือของฝ่ายความมั่นคงจะเป็นไปเหมือนปกติคงไม่ได้ และหากจะต้องยกระดับในการเฝ้าระวังจะถึงขั้นใช้กฎหมายพิเศษหรือเปล่า ถ้าต้องทำถึงขนาดนั้น ย่อมหลีกเลี่ยงผลกระทบที่จะตามมาไม่ได้
ผลจากการก่อเหตุมีพัฒนาการสลับซับซ้อนขึ้นของฝ่ายลงมือ มีรูปการหวังผลทางการเมืองสูง เพื่อให้คนตื่นตระหนกและมีความวิตกกังวล การก่อเหตุในสถานที่สาธารณะ ที่เกี่ยวโยงกับการดำรงชีวิตประจำวันของประชาชน เพราะคนพวกนี้เล็งเห็นแล้วว่าเป็นพื้นที่ควบคุมไม่มาก จึงเป็นเหตุให้เกิดผลกระทบได้ง่าย จึงเป็นโจทย์ใหญ่สำหรับฝ่ายความมั่นคงว่า จะวางแผนรับมืออย่างไร
หากจะใช้มาตรการเดียวกับพื้นที่จังหวัดชายแดนใต้ หลังเกิดเหตุระเบิดห้างบิ๊กซี ปัตตานี นั่นหมายความว่า พื้นที่สาธารณะในกรุงเทพฯ ประชาชนที่จะเข้าไปต้องวางบัตรประจำตัวประชาชน ตรวจสัมภาระมากขึ้น ซึ่งจะสร้างความไม่สะดวกกับประชาชน ตรงนี้ผู้ที่เกี่ยวข้องเลือกที่จะเสี่ยงหรือไม่ อย่างไรก็ตาม คงต้องรอฟังถ้อยแถลงหลังประชุมครม.วันนี้ของ พลเอกประยุทธ์ จันทร์โอชา ต่อสถานการณ์ที่เกิดขึ้น จะมีแอ็กชั่นอย่างไร
ในโอกาสก้าวขึ้นสู่ปีที่ 4 ของการทำงานบริหารบ้านเมืองบิ๊กตู่น่าจะรับรู้ได้แล้วว่า ยิ่งอยู่นานสถานการณ์ความบีบคั้นนั้นเกิดขึ้นอยู่ตลอดเวลา และดูท่าว่าฝ่ายที่ต้องคอยเก็บกวาดเพื่อไม่ให้มีเสียงครหาหรือคำวิจารณ์ไปกระทบภาพลักษณ์ท่านผู้นำ ต้องทำงานกันหนักหน่วงขึ้น และดูแนวโน้มรูปแบบการปฏิบัติจะวกกลับไปเหมือนช่วงคสช.ยึดอำนาจหมาดๆ
นั่นก็คือการเรียกบุคคลที่เห็นต่างไปปรับทัศนคติ วันเดียวกันกับเหตุระบิดโรงพยาบาลพระมงกุฎเกล้า พิชัย นริพทะพันธุ์ อดีตรัฐมนตรีว่าการกระทรวงพลังงาน ได้โพสต์เฟซบุ๊คส่วนตัวด้วยข้อความ “ถูกทหารเชิญไปพบ จะมารับตัวเวลา 10.30 น. เช้านี้ คาดว่าจะพาไป พล ม.2″ ก่อนที่จะมีการโทรมายกเลิกในเวลาต่อมา
โดยพิชัยบอกว่า ขอขอบคุณสื่อมวลชนเป็นอย่างมากที่กรุณาให้ความสนใจที่ตนถูกเรียกตัว ทหารได้โทรมาวันนี้ เวลา 09.15 น. เพื่อขอมารับตัวไปพล.ม. 2 เพื่อพูดคุย แต่หลังจากที่สื่อมวลชนทราบและให้ความสนใจ ได้มีนายทหารพล.ม. 2 ยศพันเอกโทรมาแจ้งยกเลิกการเชิญตัวในเวลา 10.14 น. โดยแจ้งว่าเป็นห่วงว่าตนจะไม่เข้าใจผลงานรัฐบาลที่บอกว่าล้มเหลวไม่มีผลงาน ไม่ชัดเจน และจะส่งวิดีทัศน์ผลงานมาให้ดู
นายทหารคนดังกล่าวยังระบุด้วยว่า ถ้าไม่เข้าใจให้ถาม ซึ่งพิชัยได้ตอบกลับไปว่าได้อธิบายชัดเจนแล้วโดยเฉพาะเรื่องนักลงทุนไม่ลงทุน ขนาดสถานทูตญี่ปุ่นมาพบก็ได้มาเล่าสาเหตุที่นักลงทุนญี่ปุ่นไม่ลงทุน ซึ่งเป็นปัญหาร้ายแรง และหากคสช.ไม่เข้าใจและเห็นว่าตรงไหนตนพูดผิดก็ให้ตอบกลับมา เพราะตนยินดีอธิบาย เนื่องจากที่พูดเป็นความจริง
ไม่เพียงเท่านั้น พิชัยยังอธิบายต่อว่า นายทหารได้บ่นว่าสื่อให้ความสนใจตนตลอด ทำให้การมาทำความเข้าใจกับตนยากเพราะดูเป็นว่าทหารมาข่มขู่มากกว่าทำความเข้าใจ ตนก็ตอบไปว่าเรื่องนี้แล้วแต่สังคมจะมองว่าเป็นการข่มขู่หรือไม่ โดยทหารขอไม่ให้เอ่ยชื่อ และขอให้ตนให้ข่าวที่ถูกต้อง นี่คือภาพความกลัว (จนเกินเหตุ) ของลิ่วล้อผู้มีอำนาจ จนต้องเปิดปฏิบัติการเรียกไปเป่ากระหม่อมกันอีกรอบ
บางครั้งหากเป็นประชาธิปไตย 99.99 เปอร์เซ็นต์จริงอย่างที่ท่านผู้นำว่า คงต้องไปอบรมเรื่องการเปิดใจกว้างเหมือนอย่างที่ท่านได้ไปสัมผัสผ่านเวทีประชุมระดับนานาชาติมาตลอดระยะเวลา 3 ปี ความเป็นจริงมองอย่างเข้าใจก็คือ ทุกเสียงวิจารณ์ไม่ได้มีใครมีเจตนาร้าย แต่ต้องการให้รัฐบาลคสช.ที่แม้ไม่ได้มาจากการเลือกตั้ง นำไปปรับใช้เพื่อให้นานาอารยประเทศเขาเข้าใจและยอมรับ
ความคับแคบหรือการวางตัวเองอยู่ในกรอบที่ถูกจำกัดนั้น จึงส่งผลให้มีการไปขอร้องแกมบังคับไม่ให้เวทีเสวนาเรื่อง “Army 360 องศา : ทหารไทยทำอะไรได้มากกว่าที่คุณคิด” ที่มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ ท่าพระจันทร์ เมื่อวันอาทิตย์ที่ผ่านมา ห้ามใช้คำว่า “คสช.–เผด็จการ-รัฐประหาร” เป็นความคิดที่บ้องตื้นเอามากๆ ถามว่านอกจากได้ความสบายใจแล้วมีอะไรอีกหรือ คนเหล่านั้นเขาหยุดวิจารณ์ผลแห่งการยึดอำนาจหรือเปล่า ไม่เข้าใจว่าใช้สมองส่วนไหนคิด