พาราสาวะถี
ทุกครั้งที่มีข่าวคราวเรื่องการเจ็บป่วย วันรุ่งขึ้นเราจะได้เห็น “พี่ใหญ่บูรพาพยัคฆ์” พลเอกประวิตร วงษ์สุวรรณ ลุกขึ้นมาตอบโต้ทันควันด้วยท่วงทำนองดุดัน ฉุนเฉียว แต่รอบนี้กับข่าวเข้าผ่าตัดที่โรงพยาบาลบำรุงราษฎร์ด้วยอาการเส้นเลือดหัวใจตีบ น่าจะเป็นความจริง เพราะวันวานรองนายกรัฐมนตรีด้านความมั่นคงและรัฐมนตรีกลาโหม ลาการประชุมครม.
พาราสาวะถี : อรชุน
ทุกครั้งที่มีข่าวคราวเรื่องการเจ็บป่วย วันรุ่งขึ้นเราจะได้เห็น “พี่ใหญ่บูรพาพยัคฆ์” พลเอกประวิตร วงษ์สุวรรณ ลุกขึ้นมาตอบโต้ทันควันด้วยท่วงทำนองดุดัน ฉุนเฉียว แต่รอบนี้กับข่าวเข้าผ่าตัดที่โรงพยาบาลบำรุงราษฎร์ด้วยอาการเส้นเลือดหัวใจตีบ น่าจะเป็นความจริง เพราะวันวานรองนายกรัฐมนตรีด้านความมั่นคงและรัฐมนตรีกลาโหม ลาการประชุมครม.
เมื่อไม่มีสัญญาณตอบรับหรือปฏิเสธใดๆ จากคนใกล้ชิด แสดงว่าในยามหน้าสิ่วหน้าขวานเช่นนี้ พี่ใหญ่คงไม่ไหวจริงๆ มาประจวบเหมาะกับเหตุระเบิดที่ห้องวีไอพีที่ชื่อวงษ์สุวรรณ ในโรงพยาบาลพระมงกุฎเกล้า หลายคนเลยอดเป็นห่วงอารมณ์และความรู้สึกของบิ๊กป้อมไม่ได้ว่าจะเป็นอย่างไร และนั่นยิ่งทำให้เกิดการเชื่อมโยงไปถึงการปรับครม.ในทันที
หากจำกันได้ก่อนหน้านี้เจ้าตัวเคยเปรยๆ ไว้แล้วเหมือนกัน ถ้าจะต้องถูกปรับออกก็พร้อมรับการตัดสินใจของท่านผู้นำ ตัวเองอายุ 72 ปีแล้วสมควรที่จะต้องพักผ่อนไม่ใช่ต้องมาทำงานแบกภาระหนักอึ้งบนบ่าเหมือนอย่างที่เป็นอยู่ทุกวันนี้ ด้วยสถานการณ์ที่เป็นอยู่ประกอบกับความเจ็บป่วยของพี่ใหญ่ บางทีอาจถึงเวลาที่น้องเล็กต้องส่งให้พี่กลับไปอยู่บ้านเลี้ยงหลานได้แล้ว
ส่วนเหตุระเบิดที่โรงพยาบาลพระมงกุฎเกล้า มองเป็นอย่างอื่นไปไม่ได้ และ ดอน ปรมัตถ์วินัย รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการต่างประเทศ ก็ยอมรับแล้วว่า นี่เป็นการดิสเครดิตรัฐบาลคสช.อย่างแน่นอน มากไปกว่านั้นสิ่งที่จะหลีกหนีความจริงไม่พ้นซึ่งเจ้ากระทรวงบัวแก้วก็ยืดอกยอมรับเช่นกันว่า มีผลต่อภาพลักษณ์ประเทศ
ในภาวะเช่นนี้ ในฐานะคนไทยคงไม่มีใครจะไปซ้ำเติมใดๆ มีแต่มุ่งให้กำลังใจและเอาใจช่วยให้เจ้าหน้าที่สามารถคลี่คลายสถานการณ์ จับกุมผู้กระทำผิดมาลงโทษให้ได้โดยเร็ว จะเห็นได้จาก 2 พรรคการเมืองใหญ่ที่ออกแถลงการณ์ประณามเหตุระเบิดดังกล่าว ด้วยเนื้อหาที่เป็นไปในทิศทางเดียวกัน แต่ที่หลายคนอดสงสัยไม่ได้คงหนีไม่พ้น ขณะที่บ้านเมืองปกครองด้วยความเด็ดขาดเช่นนี้มันมีช่องให้เกิดเหตุร้ายขึ้นได้อย่างไร
หากจะให้น้ำหนักไปยังฝ่ายตรงข้ามรัฐบาล ถ้าสถานที่เป็นกองสลากเก่าถนนราชดำเนินหรือโรงละครแห่งชาติ ก็ยังพอจะคิดได้ว่ามีความเป็นไปได้ พลันที่เกิดเหตุในโรงพยาบาลพระมงกุฎเกล้า เชื่อได้เลยว่า สายตาทุกคู่น่าจะพุ่งเป้าไปยังสนิมเกิดแต่เนื้อในทั้งสิ้น จะด้วยเหตุผลกลใดก็ตาม ท่านผู้นำที่เป็นทหารย่อมน่าจะเข้าใจเรื่องของทหารด้วยกันเป็นอย่างดี
แต่ที่หลายคนไม่เข้าใจคือ ในเมื่อเป็นคนกันเองเหตุใดจึงใจร้ายใช้เหยื่อที่เป็นผู้บริสุทธิ์ ไม่รู้อิโหน่อิเหน่มารับเคราะห์ ตรงนี้คงเป็นเรื่องของยุทธวิธีและผลที่จะเกิดจากการก่อเหตุ ซึ่งแน่นอนว่าฝ่ายผู้มีอำนาจย่อมเข้าใจดีว่า เป้าประสงค์ของคนลงมือนั้นเพื่ออะไร หลายๆ เหตุการณ์ในห้วง 3 ปีที่ผ่านมานั้น คนจำนวนไม่น้อยต่างเข้าใจกันดีว่า พวกรับจ้างป่วนเมืองธรรมดาไม่น่าจะลงมือได้
เห็นข้อความของ ยิ่งลักษณ์ ชินวัตร ที่โพสต์เนื่องในวาระครบรอบ 3 ปีคสช. ที่สัญญาว่า จะคืนความสุขให้กับพี่น้องประชาชนและประเทศ แต่วันนี้พวกเรายังไม่เห็นการปฏิรูปอย่างเป็นรูปธรรม ถ้าไม่มีการปฏิรูปก็สูญเปล่า เพราะความเสียหายทางเศรษฐกิจมีมากจากการล้มล้างระบอบประชาธิปไตย ดังนั้น อย่าให้เป็น 3 ปี ที่ต้องสูญเปล่า ขอทวงสัญญา
ด้านหนึ่งก็เข้าใจในฐานะหัวอกของคนถูกยึดอำนาจ แต่อีกด้านหากมองย้อนกลับไปเหตุผลตั้งต้นให้เกิดการล้มรัฐบาลของตัวเอง ก็เป็นเรื่องของการเหลิงอำนาจของพี่ชายอย่าง ทักษิณ ชินวัตร อีกนั่นแหละ ไม่ว่าจะถูกใครหลอกก็ตาม แต่ความผิดพลาดเรื่องการผลักดันนิรโทษกรรมสุดซอย เพื่อหวังกลับประเทศไทยอย่างเท่ๆ คือหายนะที่แท้จริงของรัฐบาลยิ่งลักษณ์
เหมือนอย่างที่ จาตุรนต์ ฉายแสง ให้สัมภาษณ์ล่าสุด ในความเห็นของตน นิรโทษกรรมสุดซอยเป็นความผิดพลาดทางยุทธศาสตร์ของรัฐบาลและรัฐสภาที่นำโดยพรรคเพื่อไทย มันสะท้อนกระบวนการตัดสินใจที่ผิดและบกพร่อง คือหลายฝ่ายไม่มีส่วนร่วม และการตัดสินใจอย่างนั้นไม่สอดคล้องกับความคิดของคนส่วนใหญ่ เป็นเรื่องที่ฝ่ายประชาธิปไตยควรสรุปเป็นบทเรียน
แต่คำถามที่ตามมาคือ ฝ่ายประชาธิปไตยโดยเฉพาะพรรคการเมืองจะมีโอกาสได้นำบทเรียนที่เกิดขึ้นนั้นมาวิเคราะห์สังเคราะห์เพื่อปรับเปลี่ยนหรือไม่ เพราะสิ่งที่จาตุรนต์มองต่อมายิ่งน่าสนใจกว่า กับกติกาที่ถูกร่างขึ้นโดยองคาพยพของคสช. ซึ่งมันได้กลายเป็นเครื่องพันธนาการทำให้กลไกทางการเมืองหลังการเลือกตั้งขยับกันลำบาก
กติกาคราวนี้นอกจากเตรียมไว้จัดการรัฐบาลที่มาจากการเลือกตั้งแล้ว ยังสร้างกติกาที่ต้องการให้เกิดรัฐบาลที่มาจากคนนอก คือออกประตูไหนก็ได้ จัดการได้หมด แต่คำถามอยู่ที่ว่าพลังประชาธิปไตย พลังของผู้ออกเสียง พลังของพรรคการเมือง จะอยู่ในสภาพที่ยังชักเย่อต่อไปหรือไม่ ต้องดูกันต่อ หรือว่าจะถูกดึงจนล้มระเนระนาด
ขณะเดียวกัน สถานการณ์ของปัญหาที่เป็นอยู่เวลานี้ก็ยังไม่ได้รับการแก้ไข มันเป็นการสะสมปัญหา ความขัดแย้งเก่าไม่แก้ ความขัดแย้งใหม่เกิดขึ้นมากมาย มันเหมือนเป็นระเบิดเวลา มีกับระเบิดเต็มไปหมด สังคมกำลังเดินไปสู่ความขัดแย้งที่ไม่สามารถแก้ได้ โดยกระบวนการที่อยู่ในตัวระบบเอง เช่น จะแก้คำสั่ง คสช.ที่ส่งผลเสียต่อประชาชนต้องไปแก้กฎหมาย ซึ่งพรรคการเมือง สภาผู้แทนราษฎรก็แก้ให้ไม่ได้
จะแก้รัฐธรรมนูญ แก้ยุทธศาสตร์ชาติ ก็แก้ไม่ได้ มันก็รอวันระเบิด เพียงแต่มันอาจเป็นเรื่องของผู้ที่เจอกับปัญหาในอนาคตจะเป็นใคร จะเกิดขึ้นอย่างไร เกิดขึ้นเมื่อไหร่ ไม่สามารถจินตนาการไปได้ รู้แต่ว่าแนวโน้มไม่ดีเอาเสียเลย สิ่งที่นักประชาธิปไตยส่วนใหญ่หวังในวันข้างหน้าคงเหลือแค่ คนส่วนใหญ่จะก้าวไปสู่จุดที่เห็นร่วมกันว่าต้องแก้รัฐธรรมนูญ แต่ถ้าคนยังไม่เห็นว่ารัฐธรรมนูญนี้มีปัญหา ตรงนั้นนั่นแหละที่จะเป็นโศกนาฏกรรมของประเทศไทย