พาราสาวะถี

เบาะแสล่าสุดเกี่ยวกับเหตุระเบิดโรงพยาบาลพระมงกุฎเกล้า เรื่องจดหมายของกลุ่มบีอาร์เอ็นที่ส่งถึงผู้อำนวยการสถาบันมะเร็งแห่งชาติ เมื่อวันที่ 19 พฤษภาคมที่ผ่านมา แม้ว่าจะยังไม่ได้พิสูจน์ว่าเป็นจดหมายแจ้งเตือนจากกลุ่มดังกล่าวจริงหรือไม่ แต่เรื่องอย่างนี้ฟังหูไว้หูก็ดี เพราะเมื่อมองถึงศักยภาพและความอำมหิตแล้ว กลุ่มคนเหล่านี้ก็มีขีดความสามารถที่จะลงมือได้


พาราสาวะถี : อรชุน

เบาะแสล่าสุดเกี่ยวกับเหตุระเบิดโรงพยาบาลพระมงกุฎเกล้า เรื่องจดหมายของกลุ่มบีอาร์เอ็นที่ส่งถึงผู้อำนวยการสถาบันมะเร็งแห่งชาติ เมื่อวันที่ 19 พฤษภาคมที่ผ่านมา แม้ว่าจะยังไม่ได้พิสูจน์ว่าเป็นจดหมายแจ้งเตือนจากกลุ่มดังกล่าวจริงหรือไม่ แต่เรื่องอย่างนี้ฟังหูไว้หูก็ดี เพราะเมื่อมองถึงศักยภาพและความอำมหิตแล้ว กลุ่มคนเหล่านี้ก็มีขีดความสามารถที่จะลงมือได้

ด้วยเหตุนี้ พลตรีเฉลิมชัย ศรีสวัสดิ์ ผู้บัญชาการกองพลทหารม้าที่ 2 รักษาพระองค์ จึงยอมรับว่า ก็มีความเป็นไปได้ เนื่องจากกลุ่มบีอาร์เอ็น เป็นกลุ่มที่มีขีดความสามารถในการก่อเหตุ ซึ่งในปัจจุบันข้อมูลทางด้านการข่าว ก็มีกลุ่มที่มีขีดความสามารถเหล่านี้ประมาณ 2 กลุ่ม ซึ่งไม่ว่าจะเป็นกลุ่มใดเจ้าหน้าที่โดยเฉพาะตำรวจจะต้องล่าตัว คนเลว” ตามที่ พลเอกประยุทธ์ จันทร์โอชา ได้ประณามมาลงโทษให้ได้

อย่างไรก็ตาม จะว่าไปแล้วประเด็นเป้าหมายของการลงมือ ซึ่งเป็นโรงพยาบาลไม่ควรมีใครใจร้ายใจดำลงมือก่อเหตุรุนแรงได้นั้น หากคิดในทางยุทธวิธีซึ่งมีการกำหนดไว้แล้วว่าหวังผลเช่นใด ก็คงไม่ต่างจากกรณีเหตุล้อมยิง 6 ศพในวัดปทุมวนาราม เมื่อคราวการสลายม็อบคนเสื้อแดง 19 พฤษภาคม 2553 เหตุการณ์ครั้งนั้นก็มีความอำมหิตหรือจะเรียกว่าสุดชั่วไม่ต่างกัน

ในแง่ของการช่วยเป็นหูเป็นตาหรือสนับสนุนการปฏิบัติหน้าที่ของฝ่ายรัฐนั้น เชื่อว่าประชาชนทุกคน หรือแม้แต่กลุ่มการเมืองและพรรคการเมือง ซึ่งถูกเพ่งเล็งจากหน่วยงานด้านความมั่นคง ก็คงมีความปรารถนาดีที่ไม่ต่างกัน เช่นล่าสุด ที่ จตุพร พรหมพันธุ์ ประธานนปช. ออกมาเรียกร้องให้ใช้เหตุจากโรงพยาบาลพระมงกุฎเกล้ามาดำเนินการวาระแห่งชาติ

โดยวาระแห่งชาติในมุมของจตุพรก็คือ รัฐควรนำคนไทยทั้งประเทศมาสู้กับคนร้ายที่วางระเบิด ด้วยการร่วมกันประณาม ขณะที่เจ้าหน้าที่ผู้รับผิดชอบก็ต้องทำหน้าที่อย่างตรงไปตรงมา ไม่สร้างความขัดแย้งขึ้นมาใหม่ ใช้วุฒิภาวะความเป็นผู้ใหญ่ นาทีนี้ไม่มีใครใช้เรื่องระเบิดมาโจมตีรัฐบาล แค่มีการทักท้วงว่าพอเกิดเหตุปัญหาเดิมที่วนมาซ้ำแล้วซ้ำอีกคือ กล้องวงจรปิดใช้การไม่ได้

ถ้ารัฐบอกว่าจะใช้งบประมาณแผ่นดินดูแลเรื่องกล้องวงจรปิด คงไม่มีใครคัดค้านดังเช่นเรื่องเรือดำน้ำ ท่ามกลางความทุกข์นี้ รัฐควรใช้โอกาส หล่อหลอมหัวใจประชาชน มากกว่าจะสร้างความแตกแยก รัฐต้องเตรียมความพร้อมทุกอย่าง การข่าวรัฐต้องรู้ว่าจะต้องสู้กับอะไร หน้าที่รัฐคือวางแผน แก้ไขอย่างตรงไปตรงมา ไม่ใช่เพิ่มปัญหาด้วยการสร้างความขัดแย้ง

หากย้อนกลับไปดูถ้อยแถลงของบิ๊กตู่หลังการประชุมครม.เมื่อวันอังคาร มีบางช่วงบางตอนที่กล่าวอ้างอิงถึงสถานการณ์ในอดีต และเหมือนการชี้นำที่ทำให้เห็นว่าเหตุรุนแรงลักษณะเช่นนี้เกิดขึ้นในช่วงการก่อม็อบของกลุ่มการเมืองใด ท่าทีเช่นนี้จึงไม่เชื่อว่าจะเป็นท่วงทำนองที่เกิดประโยชน์กับรัฐบาล มิหนำซ้ำ ยังจะถูกมองว่า ตัวผู้นำเองนั่นแหละที่ก้าวข้ามอคติส่วนตัวไม่ได้ แล้วจะสร้างความปรองดองให้เกิดขึ้นได้อย่างไร

หากจะพูดให้แรงก็ดังที่ วัฒนา เมืองสุข โพสต์ข้อความในเฟซบุ๊คส่วนตัวว่า ท่าทีของบิ๊กตู่ไม่เคยแสดงความรับผิดชอบแต่กลับฉวยโอกาสจากเหตุการณ์ที่เกิดขึ้น ให้สัมภาษณ์ทำนองว่าการเลือกตั้งอาจต้องเลื่อนหากบ้านเมืองไม่สงบ ทั้งที่เป็นความรับผิดชอบของรัฐบาลที่มีหน้าที่ดูแลความปลอดภัยในชีวิตและทรัพย์สินของประชาชน เมื่อทำหน้าที่ไม่ได้ก็ควรออกไป แต่กลับโยนบาปให้กับประชาชน นิสัยถาวรแบบนี้ใครสั่งใครสอน ไปเรียนจากไหนมา

สถานการณ์เช่นนี้ ไม่ควรที่จะมีการซ้ำเติมหรือตอบโต้กันไปมา คำถามตัวโตที่หลายคนอดสงสัยไม่ได้ก็คือ เมื่อฝ่ายความมั่นคงการันตีแล้วว่า ระเบิดหนล่าสุดเป็นซิกเนเจอร์ของกลุ่มก่อเหตุ เชื่อมโยงเหตุระเบิดหน้ากองสลากเก่าและโรงละครแห่งชาติ แต่เมื่อรู้ว่านี่คือการลงมือที่มีลายเซ็น แล้วเจ้าหน้าที่สามารถถอดรหัสสาวไปถึงเจ้าของลายเซ็นนั้นได้หรือไม่

สิ่งที่หวั่นเกรงกันเวลานี้จนมีข่าวเล็ดลอดมาจากฝ่ายความมั่นคงว่า มีการสั่งการมาจาก พลเอกประวิตร วงษ์สุวรรณ การจะจับตัวผู้ก่อเหตุในกรณีระเบิดนั้นต้องเป็นตัวจริงเสียงจริงเท่านั้น นั่นหมายความว่า รองนายกฯฝ่ายความมั่นคงเองก็เกรงจะมีการจับแพะ สิ่งสำคัญไปกว่านั้น ถ้ามีการจับผิดตัวนั่นย่อมหมายถึงสมมติฐานที่นำไปสู่การพิสูจน์ความจริงก็ผิดเพี้ยนตามไปด้วย

ความกังวลเช่นนี้ อาจเป็นเพราะกลัวว่ามีการเอาง่ายเข้าว่า หาแพะมารับบาปแล้วโยนเป็นเรื่องการเมืองผูกเข้ากับกลุ่มหนึ่งกลุ่มใดเพื่อปิดคดี ซึ่งสิ่งนี้สอดคล้องกับแถลงการณ์ขององค์กรสิทธิมนุษยชนระหว่างประเทศ ไม่ว่าจะเป็น ฮิวแมน ไรท์ วอทช์ ที่เรียกร้อง ทางการควรดำเนินการสอบสวนโดยพลันอย่างโปร่งใส ไม่ลำเอียง และต้องประกันให้มีการเคารพสิทธิตามกระบวนการอันควรของกฎหมายอย่างเต็มที่

ควรประกันว่าผู้ที่รับผิดชอบต่ออาชญากรรมที่โหดร้ายเช่นนี้จะต้องถูกควบคุมตัวและเข้าสู่การพิจารณาของศาล อีกทั้งควรเคารพสิทธิตามกฎหมายของผู้ตกเป็นจำเลยด้วย เพราะถือเป็นเรื่องสำคัญอย่างยิ่งเพื่อให้เกิดความยุติธรรมต่อผู้เสียหาย และเพื่อป้องกันไม่ให้มีการโจมตีที่ชั่วร้ายเช่นนี้อีกในอนาคต แม้จะประณามคนก่อเหตุ แต่องค์กรแห่งนี้ก็วิตกต่อกระบวนการอำนวยการยุติธรรมของทางการไทย

เช่นเดียวกับแอมเนสตี้ อินเตอร์เนชั่นแนล ที่แถลงการณ์ประณามเหตุรุนแรงดังกล่าว แต่ก็ทิ้งติ่งว่ากระบวนการดำเนินคดีในเรื่องนี้ต้องถูกสอบสวนอย่างอิสระ โปร่งใสและเป็นกลางทันที โดยผู้ก่อเหตุที่ลงมือหรือมีส่วนเกี่ยวข้องกับการกระทำครั้งนี้ ต้องถูกนำตัวเข้าสู่กระบวนการยุติธรรมที่เป็นธรรม เคารพสิทธิมนุษยชน และเป็นไปตามพันธกรณีระหว่างประเทศของไทย

แต่ดูเหมือนว่าข้อเรียกร้องดังกล่าว ไม่น่าจะเป็นผล เพราะขณะนี้ได้มีการเตรียมที่จะใช้มาตรา 44 ในการดึงคดีที่เกี่ยวกับความมั่นคงโดยเฉพาะเหตุระเบิด กลับไปอยู่ในการพิจารณาของศาลทหารอีกครั้ง หลังจากที่ได้มีคำสั่งยกเลิกไปก่อนหน้านั้น สิ่งเหล่านี้ไม่ได้ขึ้นอยู่กับว่าจะเป็นศาลประเภทไหน เพราะหากฝ่ายปฏิบัติทำงานอย่างตรงไปตรงมา ไร้วาระซ่อนเร้นหรือไม่มีธงนำ อำนวยความยุติธรรมอย่างเต็มที่ เสียงวิพากษ์วิจารณ์ใดๆ ก็ย่อมไม่มีน้ำหนัก

Back to top button