พาราสาวะถี

คำถาม 4 ข้อของ พลเอกประยุทธ์ จันทร์โอชา ยังคงเรียกเสียงวิจารณ์ต่อเนื่อง แม้ท่านผู้นำจะทำการชี้แจงถึงการตั้งคำถามดังกล่าวไปแล้ว แต่คนจำนวนไม่น้อยยังพยายามจะเสาะแสวงหาว่า เหตุอะไรที่ทำให้บิ๊กตู่กล้าประกาศกร้าวประมาณว่า ประเทศไทยจะหาใครที่เป็นคนดีกว่าตัวเองไม่มีอีกแล้ว หรือจะเป็นเพราะผลโพลของสำนักงานสถิติแห่งชาติครั้งก่อนโน้นที่ระบุว่า มีประชาชนชื่นชอบท่านผู้นำมากถึงร้อยละ 99.5


พาราสาวะถี : อรชุน

 

คำถาม 4 ข้อของ พลเอกประยุทธ์ จันทร์โอชา ยังคงเรียกเสียงวิจารณ์ต่อเนื่อง แม้ท่านผู้นำจะทำการชี้แจงถึงการตั้งคำถามดังกล่าวไปแล้ว แต่คนจำนวนไม่น้อยยังพยายามจะเสาะแสวงหาว่า เหตุอะไรที่ทำให้บิ๊กตู่กล้าประกาศกร้าวประมาณว่า ประเทศไทยจะหาใครที่เป็นคนดีกว่าตัวเองไม่มีอีกแล้ว หรือจะเป็นเพราะผลโพลของสำนักงานสถิติแห่งชาติครั้งก่อนโน้นที่ระบุว่า มีประชาชนชื่นชอบท่านผู้นำมากถึงร้อยละ 99.5

เมื่อเป็นเช่นนั้น นั่นหมายความว่า ตลอดเวลากว่า 3 ปีที่คสช.ยึดอำนาจ มีผลงานเป็นที่ประจักษ์มากมาย จึงทำให้ผู้มีอำนาจกล้าที่จะย้อนถามในท่วงทำนองชี้นำประชาชนและตีกันนักการเมืองไปในตัว ดังนั้น เพื่อให้เห็นภาพว่า 3 ปีดังว่าคณะรัฐประหารมีผลงานอะไรบ้าง บทความของ นาวาอากาศเอกอนุดิษฐ์ นาครทรรพ อดีตรัฐมนตรีไอซีทีที่เขียนไว้ก่อนบิ๊กตู่จะตั้งคำถาม จึงน่าจะช่วยขยายภาพเหล่านั้นได้

เรื่องแรกที่บรรดากองเชียร์หรือสาวกแฟนพันธุ์แท้ของคสช.ยกย่องว่าเป็นผลงานมาสเตอร์พีซของคณะรัฐประหารก็คือ หากไม่มีการปฏิวัติพ.ร.บ.นิรโทษกรรมสุดซอย ก็จะถูกผลักดันให้ผ่านสภาอย่างหลีกเลี่ยงไม่ได้ และเมื่อกฎหมายผ่านปีศาจร้ายที่คอยหลอกหลอนประเทศอย่าง ทักษิณ ชินวัตร ก็จะได้กลับบ้านและกลับมาทำร้ายประเทศให้รุ่งเรือง ทำมาค้าคล่อง และประชาชนลืมตาอ้าปากกันได้อีกครั้ง

เรื่องต่อมาที่เขาเชื่อกันอย่างหัวปักหัวปำว่า คสช.ได้สร้างคุณูปการให้กับประเทศอย่างมากมาย คือ หาก คสช.ไม่ออกมาปฏิวัติและใช้กำลังทหารเข้าปกครองประเทศ จะมีกองกำลังติดอาวุธที่จัดตั้งขึ้นเพื่อหวังเปลี่ยนแปลงการปกครองประเทศไทยเป็นระบอบสหพันธรัฐ ทำการล้มล้างการปกครองระบอบประชาธิปไตยอันมีพระมหากษัตริย์ทรงเป็นประมุข

ดังนั้น ประชาชนจึงควรต้องชื่นชมและขอบคุณคสช. ที่อุทิศตัวออกมากวาดล้างจับกุมกองกำลังนี้อย่างต่อเนื่อง และต้องถือว่าเป็นผลงานชิ้นโบแดงที่สำคัญอีกชิ้นหนึ่ง แม้ว่าคนส่วนใหญ่จะไม่เคยเห็นกองกำลังนี้เลยก็ตาม สุดท้ายที่ต้องยกย่องว่าเป็นผลงานของคสช.อย่างปฏิเสธไม่ได้ คือ การยกเลิกโครงการรับจำนำข้าวที่สร้างความกินดีอยู่ดีให้กับชาวนาทั้งประเทศ

แม้ว่าโครงการนี้จะเป็นเครื่องมือสำคัญในการกระตุ้นเศรษฐกิจและช่วยขับเคลื่อนประเทศให้เดินไปข้างหน้าได้อย่างมั่นคง แต่เมื่อมีการกล่าวหาว่ารัฐบาลเลือกตั้งใช้โครงการนี้เพื่อทำให้ประชาชนพึงพอใจและมีความสุข และฝ่ายค้านให้ข้อมูลว่ามีการทุจริตคอร์รัปชั่น คสช.ก็มีความจำเป็นต้องระงับยับยั้งและเข้าไปสะสางโครงการนี้ด้วยการดำเนินคดีความต่างๆ โดยใช้กระบวนการทางกฎหมาย

นั่นเป็นมุมความชื่นชอบของสาวกเผด็จการพันธุ์แท้ แต่ในอีกมุมที่ไม่ว่าใครพวกไหนคงจะสัมผัสและรับรู้กันถ้วนทั่วนั่นก็คือ 3 ปีภายใต้การบริหารราชการแผ่นดินของรัฐบาลทหาร เศรษฐกิจของประเทศถอยหลังลงไปเรื่อยๆ การตั้งงบประมาณขาดดุล 3 ปีต่อเนื่อง รวมทั้งการเก็บรายได้ของรัฐที่ต่ำกว่าเป้ามาโดยตลอดเป็นข้อเท็จจริงที่สะท้อนให้เห็นว่ารัฐบาลมีปัญหาในการบริหารเศรษฐกิจ

เพราะการตั้งงบประมาณขาดดุลและการเก็บรายได้ไม่เข้าเป้า ย่อมหมายถึงการกู้เงินหลายแสนหลายล้านบาทมาใช้และชดเชย ซึ่งถ้ามีการใช้เงินกู้จำนวนมหาศาลอย่างมีประสิทธิภาพ ประชาชนย่อมไม่อดอยากและแร้นแค้นแบบนี้ ที่สำคัญ คือ หากสถานการณ์ที่เกิดขึ้นเกิดจากความอ่อนด้อยในการบริหารก็ยังพอทำใจยอมรับได้บ้าง เพราะทหารอาจไม่เก่งและรอบรู้ทุกเรื่อง

แต่ถ้าสิ่งเหล่านี้เกิดขึ้นจากเหตุผลอื่นตามที่นักวิชาการหลายรายตั้งข้อสังเกต ก็ถือว่าเป็นเรื่องน่ากลัวอย่างยิ่ง เพราะหากงบลงทุนของรัฐบาลหลายแสนล้านบาทต่อปีถูกใช้อย่างมีประสิทธิภาพ รัฐย่อมเก็บรายได้เข้าเป้าหรือเกินเป้า แต่พอรัฐเก็บรายได้ต่ำกว่าเป้าเป็นตัวเลขที่สูง จึงไม่พ้นคำครหาว่าเงินเหล่านั้นหล่นหายไปที่ไหน

เป็นไปได้หรือไม่อย่างไร ที่เรื่องทั้งหมดอาจเกิดจากการทุจริตคอร์รัปชั่นในระบบอย่างรุนแรงและกว้างขวาง มันจะเป็นเรื่องจริงตามที่ผู้ประกอบการจำนวนมากเคยให้ข้อมูลก่อนหน้านี้หรือไม่ว่า พวกเขาต้องจ่ายเงินล่วงหน้าไม่น้อยกว่า 30-40 เปอร์เซ็นต์ เพื่อให้ได้รับอนุมัติโครงการรัฐ แม้ว่าคนส่วนใหญ่อยากรู้ใจจะขาดว่าเป็นเรื่องจริงหรือไม่คงไม่มีปัญญา เพราะภายใต้รัฐบาลทหารใครล่ะที่จะกล้าเข้าไปตรวจสอบ หรือถ้ามีคนกล้าตรวจสอบ ก็คงไม่มีช่องทางที่จะเรียกข้อมูลต่างๆ ดูได้ เหมือนกับรัฐบาลเลือกตั้ง

ที่สำคัญถึงจะมีข้อมูลต่างๆ ครบถ้วนก็คงไม่สามารถเอาผิดกับใครได้ เพราะการกระทำทั้งหมดได้ถูกนิรโทษกรรมเอาไว้ล่วงหน้าเป็นที่เรียบร้อยแล้ว ความเห็นดังกล่าวเป็นไปในทิศทางเดียวกันกับ โสภณ พรโชคชัย ที่ระบุว่า วันนี้ประเทศไทยและประชาชนไทยยากจนลง ขาดอิสรภาพทางการเงิน ต้อง “กินน้ำใต้ศอก” ข้าราชการ

นั่นอาจเป็นส่วนหนึ่งในการควบคุมประชาชนด้วยอำนาจทางเศรษฐกิจก็ได้ แต่ทำให้ประเทศอยู่ในภาวะถดถอย ยิ่งกว่านั้นการทุจริตแม้ไม่มีนักการเมืองมา 3 ปีก็ยังไม่มีแนวโน้มจะลดลงแต่อย่างไร ด้วยเหตุนี้โสภณจึงสะกิดเตือนให้ชาวไทยผู้รักชาติทุกคนต้องช่วยกันประคับประคองประเทศให้ดีขึ้นให้ได้ โดยที่เจ้าตัวเองพูดไว้ก่อนที่ท่านผู้นำจะตั้งคำถาม 4 ข้อ ซึ่งก็คงไม่คาดคิดว่าเขาจะมามุกนี้

อย่างไรก็ดี ไม่ว่าจะมีเจตนาแบบไหน แต่ท่วงทำนองดังกล่าวของท่านผู้นำก็ไม่ควรเกิดขึ้น อย่างที่ องอาจ คล้ามไพบูลย์ รองหัวหน้าพรรคประชาธิปัตย์ บอกว่าไม่ควรมีใครทำตัวเป็นคุณพ่อรู้ดีชี้นำประชาชน ถ้าได้รัฐบาลไม่เหมาะสมก็มีกลไกต่างๆ มากมายที่องคาพยพของคณะรัฐประหารมีส่วนกำหนดขึ้นจัดการได้อยู่แล้ว อย่าถือเอาอำนาจที่มีอยู่ในปัจจุบันไปวิตกกังวลหรือตัดสินใจแทนประชาชนล่วงหน้า

ไม่ว่าพลเอกประยุทธ์จะมีเจตนาดีอย่างไรในการตั้งคำถาม แต่ตัวคำถามและกระบวนการได้มาซึ่งคำตอบก็ไม่อยู่บนพื้นฐานของความชอบธรรม ความน่าเชื่อถือ แต่กลับทำให้ถูกมองได้ว่าชี้นำ ทำการสร้างกระแสเพื่อให้มีเงื่อนไขในการสืบทอดอำนาจ แทนที่จะเอาเวลามาคิดค้นคำถามเพื่อหาคำตอบที่ข้าราชการกระทรวงมหาดไทยจะชงมาให้ถูกใจท่าน ท่านควรเอาเวลาที่เหลืออยู่เกือบ 2 ปีไปสร้างกลไก และมาตรการต่างๆ ให้รัฐบาลใหม่อยู่ในการบริหารงานที่มีธรรมาภิบาลจะดีกว่า

Back to top button