คุณค่าบริษัท : LPH ผลกำไรจะดีขึ้นต่อ

เมื่อวันที่ 6 มิ.ย.60 บอร์ดประกันสังคมมีมติปรับค่าบริการทางการแพทย์ให้แก่สถานพยาบาลที่เข้าร่วมรับผู้ป่วยกลุ่มประกันสังคมดังนี้ 1) ปรับเพิ่มค่าบริการทางการแพทย์เหมาจ่ายรายหัวจากเดิมปีละ 1,460 บาทต่อคน เป็น 1,500 บาทต่อคน 2) ปรับค่าบริการทางการแพทย์กรณีโรคมีภาระเสี่ยงทั้งผู้ป่วยนอกและผู้ป่วยในจากเดิมปีละ 432 บาทต่อคน เป็น 447 บาทต่อคน


3) ปรับค่ารักษาพยาบาลผู้ป่วยในที่มีค่าใช้จ่ายสูง (RW≥ 2) จากเดิม 560 บาท เป็น 640 บาท และ 4) กรณีรักษาผู้ป่วยในมีค่าใช้จ่ายเกิน 1 ล้านบาท ได้เพิ่มค่าบริการทางการแพทย์ให้สถานพยาบาลในอัตราร้อยละ 80 ของค่าใช้จ่ายที่เกิน 1 ล้านบาท ตามหลักเกณฑ์เงื่อนไขที่คณะกรรมการการแพทย์กำหนด

ทั้งนี้จะมีผลบังคับใช้ตั้งแต่วันที่ 1 ก.ค. 60 เป็นต้นไป!!

ถือเป็นผลดีต่อ บริษัท โรงพยาบาล ลาดพร้าว จำกัด (มหาชน) หรือ LPH เนื่องจากปัจจุบันบริษัทมีสัดส่วนรายได้จากประกันสังคมที่สูงถึง 48% ของรายได้ค่ารักษารวม ซึ่งมีจำนวนมากที่สุดของผู้เข้าร่วมโครงการประกันสังคม โดยมีผู้ประกันตน 1.61 แสนคน

ดังนั้นมติอนุมัติปรับค่าแพทย์ของสำนักงานประกันสังคมดังกล่าวข้างต้น จึงส่งบวกต่อการปรับเพิ่มประมาณการรายได้ค่ารักษาและกำไรปกติของ LPH ตั้งแต่ปี 2560 เฉลี่ยปีละ 0.8% และ 3.0% ตามลำดับ

นอกจากนี้โดยภายใต้ประมาณการใหม่ของนักวิเคราะห์คาดปี 2560 LPH จะมีกำไรปกติ 174 ล้านบาท เติบโต 11.8% จากงวดเดียวกันของปีก่อน และโตต่อ 17.4% จากงวดเดียวกันของปีก่อนในปี 2561 ด้วยแรงหนุนของการประหยัดต่อขนาดที่เกิดขึ้นจากการปรับขึ้นค่าเหมาจ่ายของประกันสังคม และการเพิ่มกำลังให้บริการจากแผนเปิดอาคารใหม่ “Excellent Center” ในช่วง ก.ค. 60

ส่วนผลการดำเนินงานไตรมาส 1 สิ้นสุดวันที่ 31 มีนาคม 2560 บริษัทมีรายได้รวมขยับขึ้นมาอยู่ที่ 355.45 ล้านบาท จากงวดเดียวกันของปีก่อน 339.08 ล้านบาท เป็นผลจากรายได้จากการรักษาพยาบาลเพิ่มขึ้น และรายได้จากการบริการเพิ่มขึ้น ส่งผลให้บริษัทมีกำไรขยับขึ้นมาอยู่ที่ 47.15 ล้านบาท หรือ 0.06 บาทต่อหุ้น จากงวดเดียวกันของปีก่อน 42.14 ล้านบาท หรือ 0.06 บาทต่อหุ้น

สิ่งสำคัญ คือ เมื่อวิเคราะห์ฐานะทางการเงินเพื่อเป็นตัวแปรในการตัดสินใจต่อการลงทุน พบว่า ฐานะทางการเงินของบริษัทยังคงแข็งแกร่ง เพราะบริษัทมีสินทรัพย์หมุนเวียนมากถึง 790.20             ล้านบาท เมื่อนำมาเทียบกับหนี้สินหมุนเวียนเพียง 213.76 ล้านบาท ได้ค่า CURRENT RATIO อยู่ที่ระดับ 3.70 เท่า แสดงว่าสภาพคล่องทางการเงินของบริษัทมากเกินความจำเป็น

ส่วนปัญหาหนี้สินของบริษัทไม่มีอะไรน่าเป็นห่วง เพราะบริษัทมีหนี้สินรวมแค่ 333.99 ล้านบาท เมื่อเทียบกับส่วนของผู้ถือหุ้นมากถึง 1,654.49  ล้านบาท ได้ค่า D/E อยู่ที่ระดับ 0.02 เท่า นับว่าบริษัทปลอดหนี้สินสุดๆ แบบไม่ต้องมากังวลเลยก็ว่าได้

ด้านนักวิเคราะห์ บล.เออีซี มองว่าจากศักยภาพทำกำไรที่มีแนวโน้มดีขึ้นโดยเฉพาะช่วงครึ่งหลังของปี 60 ด้วยอานิสงส์ของการปรับขึ้นค่าเหมาจ่าย บวกกับการเริ่มเปิด “Excellent Center” ในช่วง ก.ค. 60 จะเป็นแรงหนุนกำไรปกติให้โตเฉลี่ยปีละ 14.6% ในช่วง 2 ปีนี้ (ปี 2560-2561)

อีกทั้งราคาหุ้นยังมี Upside 10.5% จากมูลค่าพื้นฐานใหม่ปี 2560 (วิธี DCF) ที่ 10.50 บาท พร้อมคาดให้อัตราส่วนเงินปันผลตอบแทนปีนี้ 2.3% สูงสุดในกลุ่ม จึงคงแนะนำ “ซื้อ”

ผู้ถือหุ้นรายใหญ่

  1. บริษัท แอล.พี. โฮลดิ้ง จำกัด 202,269,600 หุ้น 26.97%
  2. บริษัท เอ็นซีเอช 2555 โฮลดิ้ง จำกัด 34,749,880 หุ้น 4.63%
  3. นายพิพัฒน์ เศวตวิลาศ 34,393,684 หุ้น 4.59%
  4. บริษัท ยูเนี่ยนแคปปิทอล จำกัด 25,410,000 หุ้น 3.39%
  5. นางวิมลทิพย์ พงศธร 23,100,000 หุ้น 3.08%

รายชื่อกรรมการ

  1. นายสมศักดิ์ โล่เลขา ประธานกรรมการ
  2. นายพิพัฒน์ เศวตวิลาศ รองประธานกรรมการ
  3. นายอังกูร ฉันทนาวานิช ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร
  4. นายอังกูร ฉันทนาวานิช กรรมการ
  5. นายสมเชาว์ ตันฑเทิดธรรม กรรมการ

Back to top button