พาราสาวะถี
ไม่น่าจะอธิบายกันอีกแล้วกับปมเซตซีโร่กกต. สิ่งที่ต้องจับตาต่อจากนี้ไปคือจะมีองค์กรอิสระแห่งใดอีกที่จะถูกโละทิ้ง ที่เหล่และเล็งกันไว้จากคำบอกกล่าวของ มีชัย ฤชุพันธุ์ คือคณะกรรมการสิทธิมนุษยชนหรือกสม. ด้วยเหตุผลที่คล้ายกับกกต.เรื่องที่มาหรือคุณสมบัติของคณะกรรมการ หลายรายยังนิ่ง แต่ วัส ติงสมิตร ประธานกสม.ออกมาตั้งข้อทักท้วงพร้อมแนวทางการต่อสู้อย่างน่าสนใจ
อรชุน
ไม่น่าจะอธิบายกันอีกแล้วกับปมเซตซีโร่กกต. สิ่งที่ต้องจับตาต่อจากนี้ไปคือจะมีองค์กรอิสระแห่งใดอีกที่จะถูกโละทิ้ง ที่เหล่และเล็งกันไว้จากคำบอกกล่าวของ มีชัย ฤชุพันธุ์ คือคณะกรรมการสิทธิมนุษยชนหรือกสม. ด้วยเหตุผลที่คล้ายกับกกต.เรื่องที่มาหรือคุณสมบัติของคณะกรรมการ หลายรายยังนิ่ง แต่ วัส ติงสมิตร ประธานกสม.ออกมาตั้งข้อทักท้วงพร้อมแนวทางการต่อสู้อย่างน่าสนใจ
การเซตซีโร่หรือรีเซตนั้น ถือว่าทำได้ ถ้ามีเหตุผลเพียงพอ การจะอ้างว่าเป็นลักษณะการทำงานแบบปลาสองน้ำ เห็นว่าไม่น่าจะเป็นเหตุผลที่ถูกต้อง เนื่องจากองค์กรอิสระอื่นก็มีลักษณะปลาสองน้ำเช่นเดียวกัน ขอย้ำว่าไม่ขึ้นอยู่กับน้ำ แต่ขึ้นอยู่กับปลาว่ามีความอร่อย มีประโยชน์หรือไม่มากกว่า เช่นเดียวกับองค์กรอิสระ แม้จะเป็นปลาสองน้ำ แต่ถ้าทำงานดี มีศักยภาพ และมีผลงาน ก็ควรให้ทำหน้าที่ต่อ
ความเห็นของประธานกสม.ต่อกระบวนการที่จัดการกับองค์กรของตัวเองคือ ควรให้พ้นจากตำแหน่งเป็นรายบุคคลเฉพาะผู้ขาดคุณสมบัติตามรัฐธรรมนูญฉบับใหม่ เพราะกสม.บางคนเป็นผู้อาสามาทำหน้าที่ ยอมทิ้งงานเดิมเพื่อมารับใช้ประเทศชาติ แต่หากกรรรมการองค์กรอิสระทำงานไม่ดี สามารถถอดถอนได้ตามกฎหมาย แต่ท้ายที่สุดแล้วถ้าสนช.มีมติเซตซีโร่ ก็ต้องต่อสู้ตามขั้นตอน โดยเริ่มจากในชั้นสนช.ในการตั้งกรรมาธิการร่วม ถ้าไม่จบก็ต้องส่งศาลรัฐธรรมนูญวินิจฉัย
กระบวนการพิจารณากฎหมายลูกประกอบรัฐธรรมนูญไม่ว่าจะเป็นเรื่องใดก็ตาม ถือเป็นหน้าที่ของกรธ.ที่จะส่งไม้ต่อให้สนช.ดำเนินการต่อ รวมไปถึงการท้วงติงในส่วนขององค์กรที่ได้รับผลกระทบก็ถือเป็นสิทธิที่พึงกระทำได้ แต่ประเภทหน้าที่ไม่ใช่กลับสะเออะมาแสดงความเห็น คนพวกนี้ขนาดยังไม่อ้าปากคนก็เห็นไปถึงไหนต่อไหนแล้วว่าเป้าประสงค์คือโหนกระแสหวังได้รับการลากตั้งไปนั่งเป็น 1 ใน 250 ส.ว.
เหมือนอย่างที่นายทหารใหญ่บางรายที่นั่งในเก้าอี้สปท. เสนอหน้าเรียกร้องให้กกต.หยุดกระบวนการตรวจสอบ 9 รัฐมนตรีที่ถูก เรืองไกร ลีกิจวัฒนะ ร้องว่าอาจจะขาดคุณสมบัติตามรัฐธรรมนูญ 2560 โดยเหตุผลของคนที่มาจี้ให้กกต.ยุติการดำเนินการ อ้างกันแบบหน้าตาเฉยว่า รัฐมนตรีเหล่านั้นได้ปฏิบัติตามกฎหมายอย่างถูกต้อง ผ่านการตรวจสอบโดยป.ป.ช.มาแล้ว
เป็นการเอาสีข้างเข้าถูหรืออ้างแบบข้างๆ คูๆ ในเมื่อผ่านการตรวจสอบมาแล้วชั้นหนึ่ง และมั่นใจว่าบริสุทธิ์ผุดผ่องก็ไม่เห็นจะต้องกลัวอะไร ก็ปล่อยให้กระบวนการที่เขาจะต้องดำเนินการตามกฎหมายได้จัดการให้สุดทาง อย่างที่ สมชัย ศรีสุทธิยากร กกต.ยืนยันไม่ใช่การเอาคืนจากปมเซตซีโร่ และกกต.ก็เหมือนไปรษณีย์ทำหน้าที่แค่นำเรื่องร้องเรียนที่ได้รับส่งต่อไปให้ศาลรัฐธรรมนูญวินิจฉัยเท่านั้น
ที่หนักข้อมากกว่าคงเป็นเหตุผลของรัฐมนตรีที่บางรายซึ่งบอกว่า ตนเองมารับตำแหน่งตามรัฐธรรมนูญเก่าหรือรัฐธรรมนูญชั่วคราวนั้น ก็มีการตั้งคำถามว่าแล้วไง หมายความว่ารัฐธรรมนูญใหม่ที่มีผลบังคับใช้ไม่มีผลผูกพันเช่นนั้นหรือ ถ้าเช่นนั้นแล้ว กกต.ที่เพิ่งถูกเซตซีโร่ก็มาภายใต้รัฐธรรมนูญเก่ามิใช่หรือ แล้วเหตุใดจึงถูกโละแบบยกชุดตามรัฐธรรมนูญใหม่ด้วยเหตุผลการกำหนดคุณสมบัติที่สูงขึ้น
ด้วยเหตุนี้กระมัง กับการพยายามอธิบายของคนบางคนบางพวกที่บอกว่าร่างกฎหมายหรือบังคับใช้กฎหมายไม่ได้ทำแบบสองมาตรฐาน แต่ผลจากการกระทำมันเป็นบทพิสูจน์ได้ว่าข้อเท็จจริงเป็นอย่างไร ความจริงอีกประการดังที่ วัลลภ ตั้งคณานุรักษ์ อภิปรายในการพิจารณาร่างกฎหมายกกต.นั่นไง กกต.ชุดปัจจุบันมีความผิดอย่างไร หรือ กรธ.มีความโกรธแค้นใครเป็นการส่วนตัวหรือไม่ หากคนคนนั้นมาด้วยความถูกต้อง แล้วจะไปรังแกเขาทำไม
เป็นเครื่องหมายคำถาม ที่เมื่อมีคำตอบก็หนีไม่พ้นไม่ได้รังแกหรือมีอคติต่อใครทั้งสิ้น แต่สิ่งที่ดำเนินการไปนั้นมันเป็นภาพสะท้อนตัวมันเองได้เป็นอย่างดี ขณะเดียวกันหลังจากนี้คงมีพวกลูกคู่ลูกหาบคงพากันออกมาปกป้องผู้มีอำนาจหน้าสลอน โดยเฉพาะพวกประเภทกล้าบ้าบิ่นเหมือนบางรายที่ยอมเปลืองตัวถึงขั้นจับเอา หัวหน้าพรรคเก่าแก่ หัวหน้าม็อบกปปส.และหัวหน้าคณะรัฐประหาร มาเชื่อมโยงกันจนเป็นการฉายภาพเบื้องหลังการล้มรัฐบาลยิ่งลักษณ์เสียล่อนจ้อน
แต่ด้วยความที่คนเสนอเป็นพวกมือระเบิดฆ่าตัวตายอยู่แล้ว เมื่อไม่มีใครไปต่อยอดความเห็นสุดโต่งดังว่าทุกอย่างจึงเงียบหายไปตามสายลม ทว่าคนส่วนใหญ่กลับไม่ได้คิดเช่นนั้น ต่างพากันตั้งตารอผลการเลือกตั้งครั้งหน้า พอจะเดาโฉมรัฐบาลที่จะเกิดขึ้นได้ หน้าตาคงไม่ต่างไปจากปัจจุบัน เพียงแต่จะดีขึ้นมาหน่อยตรงที่มีพรรคการเมืองและนักการเมืองจากการเลือกตั้งมาร่วมวงช่วยสร้างความชอบธรรมให้เท่านั้น
ประเภทที่ว่า นักการเมืองและพรรคการเมืองควรจะหน้าหนากันมากขึ้น อย่าไปยอมรับอำนาจที่ทำลายกระบวนการประชาธิปไตย หากสร้างวาทกรรมพูดให้ดูดีมันก็เป็นเช่นนั้น แต่สำหรับพวกปากมัน ไม่เคยคิดถึงความสง่างามใดๆ ไม่ต้องไปพูดถึงศักดิ์ศรีอะไรทั้งนั้น ยิ่งเรื่องยึดระบบรัฐสภา และเดินตามระบอบประชาธิปไตย ประวัติศาสตร์ทางการเมืองที่ผ่านมาพิสูจน์ให้เห็นแล้วว่า แค่วาทกรรมลวงโลก เท่านั้น
ความพยายามของบางคนที่จะปกป้อง 9 รัฐมนตรีนั้น อาจจะเป็นเพราะเห็นแล้วว่ามีโอกาสที่บางรายจะสะดุดขาตัวเอง ดังที่มีรายงานว่ามีรัฐมนตรี 7-8 คน ที่อาจเข้าข่ายขาดคุณสมบัติจะต้องส่งให้ศาลรัฐธรรมนูญวินิจฉัย มีเพียง วิษณุ เครืองาม เท่านั้นที่ไม่จะเข้าข่ายจากกรณีเป็นลูกจ้างเป็นกรรมการสภามหาวิทยาลัยราชภัฏพระนคร และกรรมการสถาบันบัณฑิตพัฒนศิลป์ เพราะเป็นข้อกล่าวหาที่ไม่ชัดเจน
ส่วนที่เหลือมีการถือหุ้น 3 ประเภทคือ หุ้นสื่อสารมวลชน หุ้นที่ทำกิจการการค้ากับรัฐ รับสัมปทานของรัฐและถือหุ้นเอกชน หลังจากนี้คณะอนุกรรมการสอบสวนในเรื่องดังกล่าวคงจะได้เรียกรัฐมนตรีทั้งหมดเข้าชี้แจง แต่ที่น่าขีดเส้นใต้คงเป็นเหตุผลของ ดอน ปรมัตถ์วินัย รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการต่างประเทศที่บอกว่า หุ้นบริษัทเอกชนที่ตนถือไว้อยู่มีจำนวนไม่มากและไม่เกินตามที่กฎหมายกำหนดอย่างแน่นอน
ส่วนเหตุผลที่มีหุ้นบริษัทเอกชนไว้นั้น เพื่อให้รู้ความเคลื่อนไหวของตลาดหุ้นเท่านั้น ตนไม่ได้เป็นนักเล่นหุ้น ไม่ใช่นักลงทุน ข้ออ้างเช่นนี้คงต้องให้ผู้เชี่ยวชาญด้านนี้วิจารณ์กันว่าฟังได้หรือไม่ และด้วยมาตรฐานอันสูงส่งที่ท่านผู้นำได้กำหนดไว้เพื่อให้ครม.ชุดนี้อยู่เหนือผลประโยชน์ใดๆ การไม่เสียสละหุ้นเอกชนอันน้อยนิด เพียงเพื่อเรียนรู้ภาวะการลงทุนนั้น มันเหมาะสมกับสิ่งที่ผู้มีอำนาจต้องการจะสร้างภาพให้เป็นคณะบุคคลที่โปร่งใส ไร้มลทินใดๆ หรือไม่