พาราสาวะถีอรชุน

กลายเป็นยาวิเศษสำหรับรัฐบาลคสช.ไปเสียแล้ว สำหรับมาตรา 44 ภายใต้อุ้งมือของ พลเอกประยุทธ์ จันทร์โอชา เพราะล่าสุด ก็มีการใช้มาตราดังกล่าวให้ครม.ปฏิเสธที่จะเลือกบุคคลเพื่อให้มาดำรงตำแหน่งคณะกรรมการกิจการกระจายเสียง กิจการโทรทัศน์ และกิจการโทรคมนาคมแห่งชาติ หรือกสทช. แทน สุทธิพล ทวีชัยการ ที่ลาออกไปดำรงตำแหน่งคณะกรรมการตรวจเงินแผ่นดิน


กลายเป็นยาวิเศษสำหรับรัฐบาลคสช.ไปเสียแล้ว สำหรับมาตรา 44 ภายใต้อุ้งมือของ พลเอกประยุทธ์ จันทร์โอชา เพราะล่าสุด ก็มีการใช้มาตราดังกล่าวให้ครม.ปฏิเสธที่จะเลือกบุคคลเพื่อให้มาดำรงตำแหน่งคณะกรรมการกิจการกระจายเสียง กิจการโทรทัศน์ และกิจการโทรคมนาคมแห่งชาติ หรือกสทช. แทน สุทธิพล ทวีชัยการ ที่ลาออกไปดำรงตำแหน่งคณะกรรมการตรวจเงินแผ่นดิน

ด้วยเหตุผลว่าไม่อยากให้เกิดความขัดแย้งกับสนช.เพราะเคยลงมติด้วยเสียงข้างมาก ไม่เลือกรายชื่อ 4 รายที่ถูกเสนอมาแล้ว เป็นอันว่ากรรมการกสทช.ก็ต้องทำงานตามจำนวนที่เหลือต่อไปจนกว่าจะครบวาระ ซึ่งก็คงไม่น่าจะมีปัญหาอะไร เนื่องจากในความเป็นจริงแม้จะมีอำนาจเต็มในการให้คุณให้โทษต่อผู้ดำเนินกิจการด้านสื่อสารมวลชนไม่ว่าแขนงใดก็ตาม แต่ในยามนี้ต้องฟังเสียงจากคสช.เป็นด้านหลัก

ว่ากันสำหรับมาตรา 44 ที่จะถูกนำมาใช้อย่างต่อเนื่องแล้ว วันวาน วิษณุ เครืองาม ก็บอกว่าจะถูกนำมาใช้กับการโยกย้ายข้าราชการระดับสูงที่ปรากฏใน 100 รายชื่อที่กระทรวงยุติธรรมส่งให้บิ๊กตู่พิจารณา โดยจะเป็นการย้ายชั่วคราวเพื่อรอกระบวนการสอบสวน ถ้าไม่ผิดก็กลับมารับตำแหน่งตามเดิม แต่หากผิดก็ต้องถูกอัปเปหิจากเก้าอี้เช่นกัน

 สอดรับกับคนใช้อำนาจอย่างบิ๊กตู่ที่ขู่ฟ่อๆ ในที่ประชุมคณะกรรมการต่อต้านการทุจริตแห่งชาติ ย้ำพร้อมให้ความเป็นธรรมกับทุกคนที่ถูกกล่าวหา แต่ถ้ามีความผิดจริงจำเป็นต้องใช้มาตรา 44 ดำเนินการเด็ดขาด งานนี้คงต้องมีการเชือดไก่ให้ลิงดู ไม่รู้ว่าหวยจะไปออกที่ใคร เพราะก่อนหน้าก็มีข่าวแว่วมาจากกระทรวงมหาดไทยเตรียมย้าย 3 อธิบดีพร้อม 4 ผู้ว่าราชการจังหวัด

ร้อนถึง “บิ๊กป๊อก” พลเอกอนุพงษ์ เผ่าจินดา เจ้ากระทรวงคลองหลอดต้องออกมาปฏิเสธ เพราะตามความเป็นจริงรายชื่อ 3 อธิบดีที่ปรากฏเป็นข่าวนั้น เหลือเวลาอีกแค่ไม่กี่เดือนก็จะเกษียณอายุราชการกันแล้ว หากเด้งจริงก็จะเป็นความโหดร้าย และอาจจะกลายเป็นการกระทบต่อขวัญ กำลังใจของบรรดาข้าราชการคนอื่นๆ ด้วย

หากเป็นช่วงที่คสช.ใช้อำนาจแบบเพียวๆ ไม่เกี่ยวกับความเป็นครม. ก็คงไม่มีใครแสดงอาการขัดขืน แต่เมื่อเข้าสู่การบริหารงานในรูปแบบของฝ่ายบริหารที่เต็มตัวแล้ว การจะใช้แต่พระเดชเพียงอย่างเดียวคงไม่ได้ เพราะในหลายๆ เรื่องจำเป็นต้องมีพระคุณ เพื่อให้ช่วยกันประคับประคอง สร้างผลงานให้เป็นที่ยอมรับของประชาชน

ความเป็นจริงอีกประการที่บิ๊กตู่คงสัมผัสได้กับการใช้อำนาจแบบเด็ดขาด คือการเข็ดขยาดของส่วนราชการต่างๆ จนไม่กล้าที่จะเดินหน้าในหลายๆ เรื่อง เพราะทุกคนกลัวความผิด ทำไม่ถูกใจขึ้นมาอนาคตจะจบลงทันที จึงทำให้ส่วนใหญ่ใส่เกียร์ว่าง โดยเฉพาะอย่างยิ่งหน่วยงานที่เกี่ยวข้องกับการลงทุนขนาดใหญ่ของรัฐบาล ถามกันตรงๆ ว่ามีใครกล้าขยับหรือไม่

สุดท้ายงานทั้งหมดจึงต้องตกไปอยู่ในมือของเจ้ากระทรวงแต่ละแห่ง ต้องออกแรงมากระทุ้งกระตุ้นด้วยตัวเอง จนท้ายที่สุดก็หนีไม่พ้นขอพึ่งบารมีของอำนาจมาตรา 44 มาช่วยลดขั้นตอนต่างๆ เพื่อให้งานเดินหน้าได้เร็ว ที่เห็นๆ คือ กระทรวงคมนาคมของ พลอากาศเอกประจิน จั่นตอง ซึ่งจะต้องใช้เพื่อให้งานโครงการรถไฟที่จับมือกับจีนเกิดผลเป็นรูปธรรมโดยเร็ว

อย่างไรก็ตาม ความเบ็ดเสร็จเด็ดขาดของมาตรา 44 นั้น น่าเชื่อว่า ทำเอาหลายคนเข้าใจผิดคิดว่า เป็นยาดีที่จะใช้สมานแผลได้ทุกประเภท แม้กระทั่งรักษาการรองเลขาธิการพรรคเพื่อไทยผู้ไร้เดียงสาอย่าง อนุตตมา อมรวิวัฒน์ ยังหลุดออกมาเรียกร้องให้มีการใช้มาตรดังกล่าวในการเดินหน้าโครงการท่าเรือน้ำลึกปากบารา โดยลืมไปว่าจุดยืนของพรรคที่ตัวเองสังกัดนั้นเป็นอย่างไร

จนในที่สุดต้องออกมาแก้ต่างในวันถัดมาย้ำจุดยืนในการต่อต้านรัฐประหารและไม่เห็นด้วยกับการใช้อำนาจมาตรา 44 ซึ่งน่าจะช้าเกินไป เพราะสิ่งที่ได้นำเสนอมานั้นได้ถูกขยายผลไปแล้ว นี่เป็นอีกหนึ่งตัวอย่างของกลุ่มคนที่ลืมไปว่าแหล่งกำเนิดของอำนาจตามมาตรานี้ มีที่มาจากการยึดอำนาจและปลายกระบอกปืน

กล่าวคือ อำนาจตามมาตรา 44 เป็นสิ่งที่ไม่จีรังยั่งยืน เมื่อคณะรัฐประหารและรัฐบาลคสช.หมดอำนาจไปแล้ว ปัญหาต่างๆ ย่อมกลับมาอีกตามเดิมไม่มีที่สิ้นสุด หากจะให้มองอำนาจของมาตรานี้ คงเป็นสัญลักษณ์ของการข่มขู่ ทำลายและปกป้องภาวะอำนาจที่ไม่ได้มาจากการเลือกตั้ง เป็นอำนาจที่มีไว้เพื่อป้องปรามฝ่ายตรงข้ามมากกว่าใช้อย่างสร้างสรรค์

แต่ในเมื่อผู้ใช้อำนาจยืนยันว่าจะใช้อย่างรอบคอบและไม่ใช่มีไว้เพื่อการทำลายล้าง ก็ต้องให้เวลาเป็นเครื่องพิสูจน์ อย่างน้อยการเร่งใช้เพื่อการปราบปราบการทุจริตก็น่าจะได้ใจจากประชาชนไปไม่น้อย เพียงแต่ว่าจะต้องดำเนินการอย่างตรงไปตรงมา ไม่เกิดภาวะลูบหน้าปะจมูก สิ่งสำคัญคือต้องใช้อย่างจริงจังไม่ใช่ตั้งท่าเงื้อง่าราคาแพง

ยังไม่จบสำหรับ สมบัติ ธำรงธัญวงศ์ ที่แถลงข่าวล่าสุดหลังสปช.อภิปรายร่างรัฐธรรมนูญแล้วเสร็จ เตรียมจะหารือร่วมกับ เสรี สุวรรณภานนท์ เพื่อยื่นญัตติขอแก้ไขร่างรัฐธรรมนูญ ซึ่งมองว่ายังมีหลายจุดที่ไม่ตอบโจทย์การแก้ปัญหาทางการเมืองที่ผ่านมา และเห็นว่ากระบวนการพิจารณาของคณะกรรมาธิการยกร่างฯ ยังไม่เติมเต็มสิ่งเหล่านั้น

ส่วนประเด็นที่เห็นด้วยกับสมบัติและชาวคณะคือ การที่ร่างรัฐธรรมนูญระบุคำว่าประชาชน พลเมือง หรือราษฎร ที่มีความหมายใกล้เคียงกัน เพื่อไม่ให้เกิดความสับสนจึงควรบัญญัติคำให้ชัดเจนมากกว่านี้ มิเช่นนั้นจะกลายเป็นเพียงแค่วาทกรรมที่ทำให้หน้าตาของรัฐธรรมนูญดูดีก็เท่านั้น ว่าแต่ว่า ที่ตั้งท่าขยับกันนั้นท่านประธาน เทียนฉาย กีระนันทน์ เห็นดีเห็นงามด้วยหรือเปล่า เพราะความเป็นพวกเดียวกันของแม่น้ำ 5 สาย จะทำให้ทุกอย่างหายไปกับสายลม

 

Back to top button