ก.ล.ต. เสือหิว?

เจาะกระดาน : โมนิก้าและทีมงาน

*ดูเหมือนภาพลักษณ์ของสำนักงาน ก.ล.ต. ในยุคที่ประชาธิปไตยยังไม่เต็มใบจะทำให้ผู้คนในแวดวงตลาดทุนรู้สึกระเหี่ยใจกับพฤติกรรมของหน่วยงานกำกับที่แสดงออกมามาขึ้นเรื่อยๆ จนตลาดหุ้นที่เคยมีบรรยากาศคึกคักกระดี๊กระด๊า กลายเป็นบรรยากาศหงอยเหงาลงเรื่อยๆ ย่อมเป็นการส่งสัญญาณให้รู้ว่า มีอะไรบางอย่างผิดปกติเกิดขึ้นแล้ว นักเล่นกลุ่มหลักถึงเก็บเนื้อเก็บตัวมากเป็นพิเศษไงล่ะค่ะ

*ล่าสุดเห็นมีข่าวต้องการตบทรัพย์เอาจาก ตลท. แบบไม่เกรงใจใครทั้งสิ้น ย่อมเป็นเรื่องที่สังคมให้ความสนใจในทันที แถมพฤติกรรมที่แสดงออกมาเป็นลักษณะของพวกเสือหิว เลยทำให้ภาพของหน่วยงานที่มีหน้าที่คอยกำกับดูแลตลาดหุ้นติดลบในทันที ยิ่งเห็นขออ้างในการตั้งกองทุน CMDF พร้อมกับขอเงินประเดิมตั้งต้น 8 พันล้านบาท ต่อจากนั้นขอเก็บค่าน้ำชาเป็นรายปีอีก 90% ของกำไรสุทธิ มันขูดเลือดขูดเนื้อกันแบบสุดซอยเลยนะเนี่ย!

*ประกอบผู้คนในตลาดหุ้นต่างรู้ดีว่า ตลาดหลักทรัพย์ฯ ทำหน้าที่ส่งเสริมพัฒนาตลาดทุนได้ค่อนข้างดี และในแต่ละปีก็มีอะไรดีๆ เกิดขึ้นมากมาย จู่ๆ สำนักงานเสือหิวพังประตูเข้ามา พร้อมกับทุบโต๊ะดังเปรี้ยง ก่อนจะประกาศก้องว่า เดี๋ยวจะทำหน้าที่ดังกล่าวเอง และจะแต่งตั้งคนของตัวเองเข้ามานั่ง แถมยังจะพาพรรคพวกที่อยู่นอกวงการเข้ามาช่วยถลุงเงินแบบนี้ มันมากเกินไปแล้วนะคะ

*เนื่องจากของมันเห็นกันทนโท่ว่า บุคลากรของสำนักงานเสือหิวไม่มีความพร้อมในการทำงานส่งเสริมพัฒนาตลาดทุน แถมที่ผ่านมายังยกเลิกโครงการ “1 หุ้น 1 จังหวัด”  มันก็ฟ้องให้เห็นอยู่แล้วว่า ไม่อยากส่งเสริม? ทั้งที่เป็นโครงการทำให้ผู้คนในแวดวงธุรกิจทั่วประเทศเกิดการตื่นตัว และเตรียมความพร้อมของตัวเองเพื่อเดินหน้าเข้าตลาดหุ้นแบบนี้ มันย้อนแย้งกับการกระทำในปัจจุบันเสียเหลือเกินเจ้าค่ะ

*ที่สำคัญคือ เมื่อเห็นข้ออ้างของสำนักงานเสือหิวพูดถึงการหารือเพื่อดึงเงินจาก ตลท. เริ่มต้นตั้งแต่ปี 59 “โมนิก้า” ถึงกับมีอาการปรี๊ดแตกขึ้นมาในทันที เพราะมันแสดงให้เห็นว่า กลุ่มคนที่เกี่ยวข้องต้องการสูบเงินจากองค์กรนี้ออกไปให้ได้ ซึ่งเป็นเรื่องที่น่าแปลกใจเหมือนกันว่า ทำไมคนพวกนี้ถึงไม่ใช้เงินตัวเองมาตั้งกองทุนดังกล่าว บวกกับได้ข่าวแว่วๆ มาจากแดนไกลว่า ทุกคนที่เกี่ยวข้องพร้อมชนกับความไม่เป็นธรรม งานนี้กลายเป็นหนังเรื่องยาวแน่ๆ นะจะบอกให้

*วกกลับมาดูที่บรรยากาศการลงทุนสักนิดหนึ่งดีกว่า เพราะตลอดทั้งวันมีแต่เรื่องชวนปวดหัว ไม่มีเรื่องไหนจรรโลงจิตใจเลยสักเรื่อง ไม่ว่าจะเป็นเรื่องราคาน้ำมันลดลงต่อเนื่อง ค่าเงินบาทแข็งค่าต่อเนื่อง เศรษฐกิจในประเทศยังอยู่ในช่วงชะลอตัวต่อเนื่อง ล้วนเป็นตัวแปรที่ทำให้ดัชนีอ่อนตัวลงมาปิดที่ 1,573.53 จุด ลบไป 3.47 จุด ด้วยมูลค่า 3.99 หมื่นล้านบาทไงล่ะค่ะ

*ส่วนคนที่ปวดตับมากสุดในเที่ยวนี้กลายเป็นแมงเม่าที่ถือหุ้น EARTH โดนตลาดหลักทรัพย์ฯ ขึ้นเครื่องหมาย H ก่อนจะโดนขึ้นเครื่องหมาย SP หลังจากตอบคำถามไม่เคลียร์ “โมนิก้า” มองเป็นเรื่องที่นักเล่นต้องหัดทำความเข้าใจมากนิดหนึ่ง เพราะเรื่องที่เกิดขึ้นส่งผลกระทบในวงกว้างพอสมควร จึงกลายเป็นบทเรียนครั้งสำคัญสำหรับนักเล่นหน้าใหม่ และหน้าเก่าพะยะค่ะ

*เมื่อรายดังกล่าวโดนแขวน คนที่เป็นต้นเรื่องจนนำไปสู่ปัญหาอย่าง KTB เลยได้ผลกระทบอย่างหนักหน่วง เพราะโดนทุกคนชี้นิ้วด่าว่า ทำอะไร? ทำไมถึงทำกับลูกค้าชั้นดีได้ลงคอ แถมวิธีทำงานในลักษณะนี้ ก็ไม่ต่างอะไรจากการเผาบ้านตัวเอง ทุกคนเลยพากันเทขายหุ้นออกมาตลอดทั้งวัน จนหุ้นลงมากองอยู่ 18.50 บาท ลบไป 0.40 บาท หรือลงไป 2% ด้วยมูลค่า 900 ล้านบาท เดี๊ยนถึงมองว่า จบไม่สวยแน่ๆ เจ้าค่ะ

*อีกหนึ่งรายที่สถานการณ์หนักเกินเยียวยา คงต้องมองไปหุ้น P/E เป็นลำดับถัดมาในทันที หลังศาลฎีกาสั่งให้จ่ายภาษีค้าง 250 ล้านบาท ก็ทำให้สถานการณ์ของบริษัทดูมีปัญหาในทันที เมื่อเดี๊ยนไปสำรวจสุขภาพของบริษัทล่าสุดก็พบว่า มีเงินสดติดตัวแค่ 14 ล้านบาท มีสินทรัพย์หมุนเวียนแค่ 165 ล้านบาท งานนี้เลยฟันธงได้ทันทีว่า น่าจะโดนฟ้องยึดทรัพย์อย่างแน่นอน หุ้นรูดลงหนักอีกเช่นกันจ้า

*ส่วนรายที่ทำท่าจะมาแรงอย่าง GSTEL กับ GJS สุดท้ายกลับโดนถล่มหนักหน่วงตั้งแต่เช้า จากที่เคยทำท่าจะทะยานขึ้นไปได้เรื่อยๆ สุดท้ายลงมากองอยู่ที่ 0.45 บาท ลบไป 0.03 บาท หรือลงไป 6.25% ด้วยมูลค่า 520 ล้านบาท ส่วนตัวลูกก็ลงมากองอยู่ที่ 0.45 บาท ลบไป 0.03 บาท หรือลงไป 6.25% ด้วยมูลค่า 326 ล้านบาท มันทำให้ “โมนิก้า” ตระหนักมากขึ้นว่า สงครามวันเดียวเป็นเรื่องจริง คนที่คิดจะเล่นต้องพร้อมรบนะจะบอกให้